บันเทิงสนุกสนุก

  • เฮฮา กัน

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Onner Keyzer -บท 1 ภาระ (ที่ไม่ต้องการ)

1.
ภาระ

ณ ชายป่าออสเนส.................ด้านเหนือ เป็นป่าดำที่มีต้นไม้พืชนานาพันธุ์ ลักษณะจะเป็นพันธุ์ไม้ประเภทป่ายุคก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น คือมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาไปเป็นบริเวณกว้างบริเวณพื้นด้านล่างมีพืชจำพวก เฟรินท์ บรรยากาศหนาวเย็น มีความชื้นสูงประกอบกับการที่พืชมากมายเจริญเติบโตในเชิงแย่งกันโตเพื่อแย่งแสงแดดยามกลางวันที่คงจะส่องไม่ทั่วถึงเรียกได้ว่าป่าทึบดึกดำบรรด์ มากกว่าจะเรียกว่าป่าโปร่ง ขณะนี้เป็นเวลาใกล้รุ่งแต่ยังหาความสว่างได้ไม่  ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งนั้น วัตถุทรงกลมมีแสงในตัว เรืองแสงสีเขียวครามอ่อนๆ คล้ายหลอดไฟกลมๆสีเขียวอ่อนๆ มันกำลังลอยวนไปวนมาเหนือบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่นั้น เบื้องล่างลงมาจากที่ดวงไฟสีเขียวนั้นลอยอยู่ มีร่างของมนุษย์นอนอยู่กับพื้นในท่าขดตัวตะแคงข้างภายใต้ผ้าคุมสีน้ำตาลอ่อน..มีลักษณะซึ่งน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ผมสีน้ำตาลเข้ม
ผิวเหลือง คงสูงไม่มากนัก...ไม่นานนักก็มีเสียงเปล่งออกมาจากเจ้าดวงไฟสีเขียวอ่อนนั้น ฟังสำเนียงอาการกวีกวาด
                ออนเนอร์           ลุกขึ้นสิ.... รีบลุกขึ้นได้แล้ว อันตรายกำลังจะมาแล้ว    เร็วเข้าสิ ออนเนอร์!!”
                ไม่นานนั้นเองเสียงจากดวงไฟดวงนั้นก็คงจะไปกระทบโสตของเด็กหนุ่มผู้นั้น คงจะชื่อ ออนเนอร์  เขาเริ่มขยับกายไปมาช้าๆ ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นก็คงจะกวาดมือไปมาคล้ายๆกับควานหาอะไรสักอย่าง มือของเขาที่วาดไปมารอบๆตัวเขานั้นสัมผัสได้แต่ต้นหญ้าและพืชพันธุ์ นานาชนิด
เอ้ย!!.อะไรกันเนี่ย นี่ที่ไหนงะเขาอุทานพร้อมกับลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับพยายามกวาดสายตามองรอบๆบริเวณก็แล้ว พบว่าตัวเองมาอยู่ท่ามกลางป่า  ป่าอะไรสักอย่าง มีลักษณะทึบเสียจนแสงจันทร์จากท้องฟ้าส่องแสงลงมาได้ไม่  เนื่องจากเหล่าต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านขยายออกไปเป็นวงกว้างปิดฟ้าได้ทั้งผืน ทันใดนั้นเอง ที่เขาได้พบกลับเจ้าดวงไฟสีเขียวครามนั้น ซึ่งลอยมาอยู่ตรงข้ามกับใบหน้าของเขาห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุต เขาสังเกตได้ทันใดเลยว่าเป็นวัตถุทรงกลมขนาดเท่าลูกบอลลูกขนาดประมาณหนึ่งกำมือ เรืองแสงได้และน่าจะมีชีวิตด้วย เพราะมีทั้งลูกตาและปาก สรุปแล้วน่าจะเป็นผีหรือวิญญาณ ไม่ทันที่เขาจะได้ตกใจอีกรอบ เจ้าตัวน้อยเรืองแสงนั้นก็พูดในภาษาที่ ออนเนอร์เข้าใจได้ว่า
ออนเนอร์...เร็ว..หนีเร็วไม่ทันแล้ว  ออนเนอร์ อันตรายกำลังจะมา ตามฉันมาเร็ว เร็วเข้า!!”
แทนที่จะตกใจตื่นกลัวกลายมาเป็นความประหลาดใจที่มีตัวอะไรก็ไม่รู้มาพูดกับตนได้ หลังจากที่พูดจบเจ้าตัวน้อยนั้นก็ ลอยไปอย่างรวดเร็วพรุ่งตรงไปในความมืด น้ำเสียงที่เขาสัมผัสได้นั้นเป็นเสียงแหลมเล็กที่แฝง ความเป็นมิตร แต่ยังไม่น่าไว้วางใจนัก เขาเริ่มจะพยุงกายขึ้นมองออกไปรอบๆและเริ่มสำรวจตัวเอง เขาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีอ่อนๆและยังมีผ้าคลุมสีน้ำตาลอีก
ซึ่งแน่นอนเขายังไม่รู้เพราะมันมืด  กางเกงเป็นกางเกงเดินป่าสีน้ำตาลอ่อนส่ วนรองเท้าเป็นรองเท้าหนังหุ้มข้อเท้าสีน้ำตาลเข้ม ทั้งเครื่องแต่งกายเป็นของที่เขา
มาอยู่  ซึ่งเป็นของใช้ส่วนตัวของเขาเองแทบทั้งสิ้นยกเว้นกระเป๋าแบบสะพายเฉียงที่ทำจากผ้าใบสีขาวมีสัญญาลักษณ์สีเขียวคล้ายกับรูปดาบและม้ามีปีก และเขายังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนัก แต่ไม่ทันไร เนื่องจากตาของเขาเริ่มปรับสภาพการมองเห็นให้ดีขึ้นภายในความมืด จึงทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมของป่ารอบๆตัวได้บ้าง ประกอบกับแสงยาม รุ่งที่ เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองเขารู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบ้างอย่างมาบดบัง แสงอันน้อยนิดในพื้นที่ ที่เขายืนอยู่นั้น เขาลืมสิ่งที่เจ้าตัวน้อยพูดไว้ก่อนที่จะลอยหายไปซะสนิทใจ เขาหันไปมองข้างหลังให้หายสงสัย แต่สิ่งที่พบนั้น ทำให้เขายืนตัวแข็ง อ้าปากข้าง แทบหยุดหายใจกันเลยทีเดียว ยักษ์ชัดๆ ในใจของออนเนอร์เปร่งเสียงตอบตนเอง  ยักษ์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับออนเนอร์นั้นสูงเกือบสองเท่าของออนเนอร์ ออนเนอร์เป็นเด็กหนุ่มที่สูงประมาณ170ชม.ไม่ขาดไม่เกิน  มีร่างกายกำยำใหญ่โตมากคงไม่ใช่มนุษย์แน่นอน แค่ลำแขนของมันข้างเดียวก็ใหญ่กว่าลำตัวของออนเนอร์ซึ่งข่อนข้างผอม ในมือข้างขวาของยักษ์ตนนั้นยังถือท่อนอะไรสักอย่าง มีลักษณะเป็นท่อนซุงหรือลำต้นของต้นไม้สักต้น คงใช้เป็นอาวุธ ดวงตาสีแดงสดเมื่อกระทบกลับแสงจันทร์ที่บังเอิญเล็ดลอดส่องมากระทบ   โอ้พระเจ้า  อะไรกันเนี่ย ฝันแน่ๆ  เบื้องลึกของจิตใจเขาคิดเช่นนั้น ไม่ทันจะได้สังเกตอะไรได้อีก ยักษ์ตนนั้นขยับกายเปล่งเสียงร้องลั่น ดังกระหึมไปทั้งบริเวณ เพียงแค่เสียงร้องก็บ่งบอกถึงความไม่เป็นมิตร ออนเนอร์เริ่มตั้งสติได้  ทันใดก็นึกถึงคำที่เจ้าตัวน้อยพูดไว้เมื่อสักครู่ ก็หันหลัง แล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ตามไปยังทิศทางที่เจ้าตัวน้อยนั้นลอยไป 
วิ่ง และวิ่ง ไม่นึกอะไรอีก  !! โดยมีเจ้ายักษ์ตนนั้นไล่หลังมาทันที เขาพยายามวิ่งไปเรื่อยๆแต่มันก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อสภาพแวดล้อมในทิศทางที่วิ่งไปเป็นป่า มีพืชพันธุ์เป็นสิ่งกีดขวาง ตรึม  ตรึม  ตรึม    ๆ ๆ    เสียงฝีเท้าของเจ้ายักษ์ที่กวดไล่หลังมาเรื่อยๆ ออนเนอร์ตื่นเต้นสุดขีด หัวใจของเขาเต้นแรงและเร็วมากวิ่งมาได้สัก20กว่าน่าที เขาก็ยังได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้ายักษ์ตนนั้นตามมาทุกขณะ แสดงว่าที่หนีมานั้น  ไม่ได้ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองทิ้งกันเลยแต่อย่างใด  ออนเนอร์คิดไปสารพัดอย่าง รวมทั้งความคิดที่ว่า มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป เพราะในขณะที่วิ่งมานั้นสิ่งกีดข้างต่างไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ขรุขระพืชที่มีหนามแหลมหรือแม้กระทั้งกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา ทำให้เกิดแผลถลอก ฟกช้ำตามร่างกาย  อีกรู้สึกได้ว่าเจ็บและเหนื่อยมากๆ และก็ต้องวิ่งหนีต่อไป บรรยากาศรอบๆก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย  ขณะที่วิ่งต่อมาเรื่อยๆ  เขาสังเกตเห็นแสงสีเขียว ตรงโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ห่างออกไปไม่ไกลนัก เขาจึงวิ่งเบี่ยงไปทางซ้ายไปยังตำแหน่งของแสงนั้น เมื่อวิ่งไปใกล้เห็นเจ้าตัวน้อยลอยเข้ามาหาแล้วตะโกนบอกว่า
ตามมาทางนี้....เร็วเข้า อีกไม่นานก็จะออกจากป่าออสเนสได้แล้ว พร้อมกลับลอยตัวมาอยู่บนไหล่ของเขา
ทางไหนละ เจ้าตัวน้อย แล้วไม่นำไปล่ะ มาเกาะอยู่บนไหล่แล้วจะรู้ไหมละว่าไปทางไหน
วิ่งตรงไปเนี่ยแหละน่า......อีกอย่างข้าชื่อ  วินดี้    ไม่ใช่เจ้าตัวน้อยอย่างที่เจ้าเรียก  ออนเนอร์ไม่พูดอะไรอีก วิ่งตรงไปเรื่อยๆ  ด้วยความเหนื่อยล้าและความตื่นตกใจอะไรหลายๆอย่าง  ในขณะที่วิ่งไป วินดี้ก็ร้องตะโกนเชียร์
เร็วสิ  เดี๋ยวมันก็ตามทันหรอก เร็วสิ เร็วอีก เร็ว  นั้นหลบกิ่งไม้ด้วยมันโดนฉันนะ  เร็ว..... เร็ว......
ออนเนอร์เริ่มโมโหแต่ก็ไม่อยากพูดอะไรโต้ตอบเพราะเหนื่อยสายตัวแทบขาด
เร็วอีกสิ ออนเนอร์   ยังมีเสียงจาก  วินดี้
อะไรกันเล่า นี่ก็วิ่งมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง ยังไม่ถึงอีกเหรอ เร่งอยู่ได้สบายนักสินะ เกาะไหล่ฉันอยู่นี่หว่า
ไม่กี่อึดใจหลังจากวิ่งผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งมาได้ ออนเนอร์ ก็พบว่าเบื้องหลังของตนเป็นผืนป่า แต่เบื้องหน้าเป็นทุ่งพืชที่เป็น พุ่มสูงเพียงเมตรเศษและมองออกไปถัดจากทุ่งนี้ก็เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างใหญ่ไพรสานมองต่อไปได้เรื่อยๆสุดลูกหูลูกตา...............
แล้วไหนที่ซ่อน  ที่ปลอดภัย หรือคนช่วยล่ะ   เราหนีมันพ้นแล้วใช่ไหม เจ้าตัวน้อย
วินดี้ ข้าชื่อ   วินดี้ ....อืม...เจ้าต้องคลานผ่านป่าพุ่มไม้นี้ไปแล้ว แล้ววิ่งไปตามทุ่งหญ้าสีเขียวนั้นเรื่อยๆพวกยักษ์มันก็จะเลิกตามเองแหละ
อะไรนะ  ยังต้องหนีอีกเหรอเนี่ยสิ้นประโยค ออนเนอร์ รีบทรุดตัวอยู่ในท่าคลาน แล้วคลานไปรื่อยๆผ่านพรุ่มไม้หนานั้นไป คลานไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงคำรามลั่นมาไม่ไกลนัก  พร้อมทั้งเสียง ตรึง!!ตรึง!! อยู่ไปมาคล้ายกลับเสียงของการกระทบหรือกระแทก เดาว่าเป็นการใช้กระบองฝาดไปกับพุ่มไม้ แบบสุ่มหมายให้โดนเขา
มันตามมาแล้ว ออนเนอร์ เจ้าเร่ง ฝีท้าวหน่อยนะ แล้วก็เบี่ยงไปทางซ้ายด้วย ไม่งั้นมันจะเจอเรา หรือไม่ก็โดนมันเอากระบองฝาดตายกันทั้งคู่  วินดี้ กระซิบบอก
ไม่บอกก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละน่า
เคลื่อนตัวออกไปได้สักครู่หนึ่ง ขณะที่คลานไปเรื่อยก็รู้สึกเหมือนพื้นที่ข้างหน้ามีเงาที่เป็นจุดเล็กๆและเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ออนเนอร์ หยุดฉะงักทันทีที่สังเกตเห็น  ตรึม!!! โครม!!”เสียงท่อนซุงขนาดใหญ่ลอยลงมาจากข้างบนลอยมากระแทกกับพื้นห่างจากหน้า ออนเนอร์ ไปเพียงไม่ถึงเมตร  ฝุ่นคลุ้มกระจายทั่งทั้งบริเวณนั้น ออนเนอร์ หน้าซีดฝืดแทบทรุดลงกับพื้น
มันเล่นถอนต้นไม้โยนสุ่มใส่เราเลยนะเนี่ย  ระวังหน่อย
อันตรายเลยนะเนี่ย เหนื่อย.....  วินดี้ ฉันไม่ไหวแล้ว  ออนเนอร์พูดด้วยเสียงสั่น
อีกไม่กี่สิบเมตรเองนะ ไปต่อเหอะน่า ตายที่นี้ ก็ไม่ได้กลับบ้านไม่รู้ด้วยนะ ออนเนอร์
ออนเนอร์ ไม่พูดจาอะไรอีกกัดฟันคลานต่อไปเรื่อยๆอย่างยากลำบาก มอมแมมไปหมดทั้งตัว คลานมาได้ไม่นานนักก็โผล่ออกมาจากแนวป่าพุ่มไม้ได้ ออนเนอร์ หันกลับไปมองเจ้ายักษ์ ตนนั้นมันยังวุ่นอยู่กับการฝาดกระบองสุ่มไปเรื่อยๆ ด้านหน้าเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มองไปได้ไกลแสนไกลมีพื้นที่เป็นเนินสูงต่ำสลับกันไปแล้วยังมีต้นไม้ขึ้นเป็นกลุ่มบ้างเป็นพุ่ม อยู่ในทุ่งกว้างนี้   พุ่มไม้ในทุ่งสักพุ่มไปหลบในนั้นสมองของเด็กหนุ่มสั่งการเช่นนั้น เขาเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยเหมือนการวิ่งด้วยปลายเท้าเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด วิ่งไปได้ไม่ไกลนักก็มีเสียงคำรามดังมาจากด้านหลัง วินดี้ หันกลับไปดูแล้ว ตะโกน เสียงดังว่า
ออนเนอร์ หลบเร็ว ออนเนอร์ เหลียวกลับไปด้านหลัง ต้นไม้ขนาดเขื่องลอยมา ที่เขา ลอยมาในลักษณะขวาง ลอยมาทั้งต้น ห่างจากเขาไม่เกิน2ช่วงตัว เขาตัดสินใจกระโดดพุ่งตัวไปทางซ้าย ไปยังด้านยอดของต้นไม้ต้นนั้น เนื่องว่าถ้ากระโดดไปทางขวาคงไม้พ้นช่วงลำต้นแน่ๆ เขาจึงรอดพ้นจากการโดนตันไม้ทับ แต่ก็โดนส่วนที่เป็นกิ่งก้านซัดฝาดเข้าไป ตามแรงที่โยนมาก็ไม่ถึงกับแขนขาหักแต่ก็คงจะเจ็บมากพอสมควรทีเดียว ในช่วงไม่เกินวินาทีนั้นเจ้ายักษ์ตนนั้นไม่รอดูผลงาน วิ่งตามมาในทันที เพราะความใหญ่โตก็เลยงุ่มง่าม แต่ก็ไม่ทำให้การเคลื่อนที่ของมันช้าลงไปเลย ออนเนอร์วิ่ง สามก้าว มันก้าวเพียงก้าวเดียวเท่านั้นในระยะทางเท่ากัน  ออนเนอร์ สลัดตัวออกมาจากกิ่งไม้ใบไม้ของยอดไม้ได้ ก็เห็นเจ้ายักษ์วิ่งตามมาใกล้แล้ว เขาก็เริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง แต่รู้สึกขัดๆที่ข้อเท้าซ้าย คงจะแพรงจากเหตุการณ์อันตรายเมื่อสักครู่นี้ ยักษ์เริ่มกวดไล่หลังใกล้เข้ามาเรื่อย ออนเนอร์วิ่งไปหันหน้าลีหันขวางไปเรื่อยเริ่มสังเกตเห็นว่า
เอ้า วินดี้  วินดี้ ที่เคยทรงตัวอยู่ที่ไหล่ด้านซ้ายของเขาไม่ได้อยู่ต่ำแหน่งเดิม เขาหันหลังกลับในทันทีก็พบว่าเจ้ายักษ์ ไล่ตามมาทันในระยะ ไม่เกินห้าเมตร ยักษ์ตนนั้นชูแขนข้างที่ถือกระบองท่อนซุง อยู่ในถ้าเตรียมฝาดมาที่ออนเนอร์ เขาจะทำอะไรได้นอกจากกลับหลังวิ่งอีกครั้งแต่ก้าวมาได้เพียงสี่ห้าก้าว สายตาเขาก็สังเกตเห็นความเหลื่อมของทุกหญ้าข้างหน้าเขา ว่ามีความสูงต่ำ ระหว่างพื้นที่ เขาวิ่งอยู่กับที่ถัดไปอีกสี่ห้าเมตร ไม่เกินก้าวต่อไปเขาก็พบว่าข้างหน้าเขาเป็นหน้าผาเตี้ยๆ แต่ก็ประมาณสี่ห้าเมตรเลยทีเดี๋ยว ตกไปก็คงถ้าไม่ขาหัก ก็ต้องนอนมอบไปอีกสี่ห้าวันเลยทีเดียว ชั่วอึดใจโดยไม่หันกับไปมองด้านหลังเขากระโดดพรุ่งตัวไปทางขวา เสียววินาทีที่เขาพรุ่งตัวไปจากพื้นก็มีเสียง
ตรึม !!  ....  มันคือเสียงของการฝาดกระบองลงมากลับพื้น ถ้าเขาไม่กระโดดหลบไปนั้นก็อาจจะไม่ได้มานั่งหอบอยู่ข้างๆเจ้ายักษ์
น่าจะให้มันฝาดนะเนี่ย  เปลียง!เดียวจอดจะได้หมดเวร หมดกรรม   ออนเนอร์ หมดแรงแล้ว ผยุ่งกายขึ้นมาอย่างอยากลำบาก เจ้ายักษ์เมื่อรู้ตัวว่าพลาดเป้า  ก็หันมาคว้ากระบองขึ้นหมายจะฝาดซ้ำลงมา ที่ ออนเนอร์ ในบัดดล วินดี้  เจ้าตัวน้อยก็ลอยมาจากด้านหลังเจ้ายักษ์ บินวนรอบไปหน้าของเจ้ายักษ์ที่กำลังจะเด็ดชีวิต  ออนเนอร์ เหมือนแมลงวันตอมซึ่งก็ทำได้เพียงก่อกวนสร้างความรำคาญเพื่อถ่วงเวลาให้ออนเนอร์หนี
ออนเนอร์ สังเกตเห็นว่า เจ้ายักษ์คงฝาดกระบองลงมาแน่จึงเบี่ยงตัวหลบด้วยการกลิ้งตัวไปด้านข้างในทันทีที่กระบองฝาดลงมาที่พื้นน้ำหนักตัวของมันประกอบ กับการฝาดกระบองลงไปบนพื้น ในบริเวณริมหน้าผาที่ไม่สูงนักที่เหมือนเป็นพรมแดนอะไรซักอย่างก็ได้เกิดการทรุดตัวของเนื้อดินผังทลายลง ทั้งหมดเสียการทรงตัวแล้วล่วงทะไหลลงมาตามหน้าผาชันที่ชันประมาณ70องศา  ออนเนอร์ โชคดีหน่อยที่เขายังมีสติ พยายามคว้าเอาแง่หินหรือกิ่งไม้ตามหน้าผาเพื่อชะลอการถะไหลลื่นนั้น แต่กว่าจะถึงพื้นได้ก็เป็นไปอย่างลำบากพอสมควร เมื่อลงมาถึงทุ่งหญ้า เขาเห็นวินดี้ ดิ้นกระแด่วๆอยู่ด้านข้างร่างของเจ้ายักษ์ซึ่งนอนคว่ำอยู่ลักษณะมึนกับการกระแทกที่ลงมาถึงพื้น แต่ก็คงไม่เป็นอะไรมากเพราะจากร่างการอันใหญ่โตนั้นก็แค่เหมือนคนธรรมดากระโดดลงจากำแพง  อาจไม่เจ็บอะไรมากแต่ก็คงเป็นโอกาสหนีที่ดี ออนเนอร์ วิ่งไปที่ วินดี้ ที่ดิ้นอยู่
วินดี้ เป็นไงบ้าง ตายยังเนี่ย ไปก่อนนะ
เฮ้ย...ยังไม่ตาย..แค่ยังบินไม่ได้...ขอฉันขี่ไหล่หน่อยก็พอ
ออนเนอร์ รีบคว้า วินดี้ ขึ้นมาวางไว้บนไหล่แล้วออกวิ่งต่อไป แต่ก็เป็นแค่การกระผกกระเผกหนีซะมากกว่าจะวิ่งเพราะได้รับบาดเจ็บจากการหนีมาทอน เวลานี้เป็นเช้าแล้ว  แสงสีทองของแดดสาดส่องลงมาให้ไออุ่นแก่สรรพสิ่ง
ออนเนอร์ เจ้ายักษ์มันบาดเจ็บนะรู้เปล่า ขามันโดนหินแหลมทิ่มไปที่หน้าขาข้างขวา
ใครจะไปสังเกตล่ะ วินดี้ เอาตัวให้รอดก็พอแล้ว
กร้า!!!!!!กร้า!!!!!!”  เสียงของเจ้ายักษ์ร้องด้วยความโกรธแค้น
ออนเนอร์ มันลุกขึ้นมาอีกแล้วนะ รีบหน่อย
ไหนว่ามัน เจ็บไง.....ไม่ไหวแล้วนะเนี่ย
เอาล่ะ ไม่ต้องหนีแล้ว เปิดกระเป๋าซิ เอามันออกมา
อะไรล่ะ  ในกระเป๋าเนี่ยนะออนเนอร์ ยังกัดฟันคงเดินเร็วไปเรื่อยๆพร้อมกับเปิดกระเป๋าสีขาวไปนั้น
หนังสืออะไร แล้วมาอยู่ในนี้นะเหรอ โอ้....ไม่นะ  ปืน ผา หน้าไม้ อะไรไม่มีเหรอ ต้องการอาวุธ!!!......ไม่ใช่หนังสือ....
เออนะ  ทำตามที่บอกก็แล้วกัน เปิดประมวล  วินดี้ ออกคำสั่ง ออนเนอร์ยัง งง แต่ก็เริ่มเปิดประมวลเล่มนั้น
ไม่เห็นมีอะไรเลยล่ะ มีแต่กระดาษเปล่า ฉันว่าทิ้งไว้นี่แล้วยังจะวิ่งเบาตัวกว่าอีก
พูดมากจริงเว้ย...ต้องจุติอักษรก่อน เอาเลือดของผู้ใช้หยดลงไปในประมวลสักหยด
ตลกและ บ้าอะเปล่าเนี่ย ใครจะไปทำงั้นงะ
ก็เลือดตามตัวเจ้ามีตั้งเยอะไม่ลองละ.....ลองดูสิ ออนเนอร์ สำรวจตามร่างกายตัวเองก็พบว่าบาดแผลจากการหนีมาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงมานี้ มันชั่งเยอะเหลือเกินมีเลือดซึมตามแขนและขา ออนเนอร์ จึงใช้นิ้วหัวแม่มือขวาปราดเลือดที่ข้อศอกซ้ายโดยถลกแขนเสือก่อน แล้วนำเลือดที่ติดนิ้วมือไปแปะลงบนปกหนังสือเล่มสีน้ำตาล เล่มนั้น เขา สังเกตเห็นลอยเลือดนั้นซึมลงไปในปกหนังสือ แล้วไม่นานหนังสือก็เปล่งแสงสีเขียวครามขึ้น ส่วนที่เป็นสีน้าตาลของหนังสือเริ่มลอกออกเรื่อยเหมือนถูกเผาไหม้จากแสงสีเขียวนั้น  จนทำให้กลายเป็นหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปกหนาสีเขียวครามมีขีดสามขีดและรูปม้ามีปีกกำลังพยศ สัญญาลักษณ์เดียวกับกระเป๋าสีขาว และยังมีรวดลายต่างๆดูสวยงามในขณะที่ออนเนอร์กำลังตะลึงอยู่โดยยืนตัวแข็งนิ่งในความมหัศจรรย์ วินดี้ก็ตะโกนบอกว่า
ออนเนอร์เปิดประมวลสิ เปิดแล้วอ่านอักษรสิ ในขณะเดียวกันนั้นเจ้ายักษ์ก็ได้ปราดเข้ามาใกล้ระยะไม่เกิน3ช่วงตัวเงื้อไม้กระบองนั้หมายจะทำลายทั้งสองให้ได้
เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็จึงเปิดหนังสือเล่มนั้นหรือประมวลตามที่วินดี้บอก ก็พบว่าแผ่นแรกไม่มีอะไรเลยแต่ในแผ่นที่สองนั้นมีอักษรประหลาดที่ออนเนอร์ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่สองบรรทัด แต่เมื่อเขาจ่องมองลงไปเรื่อยๆเขารู้สึกลึกๆว่าจะอ่านได้  เหมือนมันดังก้องอยู่ในจิต ใจของเขา
ยังไงต่อ ล่ะเขายังก้มมองดูอักษรอยู่พร้อมกับเอ่ยถามวิ้นดี้
อ่านมันสิ !!ออนเนอร์ เจ้ายักษ์มันเข้ามาใกล้แล้ว
วินด์ โบว์ล็อก ไซโครวรัสออนเนอร์ตะโกนออกมาดังลั่น แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้นเจ้ายักษ์ได้เข้ามาประชิดและได้เหวี่ยงกระบองมาที่ออนเนอร์ ในใจของทั้งคู่บังเกิดความกลัวถึงที่สุดในฉับพัน ขณะที่กระบองฝาดมาก่อนจะถึงทั้งคู่ห่างเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ ด้วยเหตุอันใดมิทรามได้  กระบองนั้นค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ไม่ขยับเลย เจ้ายักษ์ก็อึ้งงัน ...เพียงเสียววินาทีต่อมานั้น ออนเนอร์รู้สึกได้ถึงลมที่พัดมาจากทุกด้านอย่างรวดเร็วจนมองเห็นฝุ่นตามลมที่พัดมาก่อร่างสร้างรูปเป็นกำแพงขนาดใหญ่พอๆกับโล่ของทหารขนาดเขื่องๆ กางกันระหว่างเขากับเจ่ายักษ์ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีจากกระบองนั่นได้ และหลังจากนั้นก็เริ่มทวีความหนาแน่นและรุ่นแรงขึ้นในฉับพันจนเกิดการระเบิดขนาดย่อม แรงระเบิดผลักเจ้ายักกระเด็นไปสี่ห้าเมตรโดยถึงกับลอยตัวลงกระแทกกับพื้นแต่แรงอัดนั้นหามีผลกับออนเนอร์ไม่ แต่วินดี้กระเด็นลอยไปไกลเลยทีเดียว
พลังอะไรกันเนี่ย....วินดี้...วินดี้....อ้าวหายไปไหนหว่า  เอ้ย!!ลอยไปซะไกลเชียวออนเนอร์เดินเซๆไปหาวินดี้
อะไรกันออนเนอร์  ใครให้นายอ่านทั้งสองบรรทัดพร้อมกันเล่า...  ชั่งเหอะ ตอนนี้หนีก่อนเหอะจริงอย่างที่วินดี้พูดเจ้ายักษ์มันกำลังลุกขึ้นอีก เลือดสีม่วงไหล่ทะลักออกมาจากบาดแผลที่หน้าขาข้างขวา
มันยังไม่ตายอีกเหรอ....ฉันไม่ไหวแล้ว  .... ....วินดี้ เมื่อกี้นี้ตอนท่อง คาถา ทำไมมันเหนื่อยกว่าวิ่งมาเมื่อกี้นี้อีกนะ หือ หือ หือออนเนอร์เริ่มอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มทรุดลงกับพื้นทันที เจ้ายักษ์ยังไม่ล่ะความพยายามเดินส่ายอาดๆมาหาออนเนอร์ พร้อมกับกำมือจะทุบออนเนอร์ ไม่เกินเสี้ยววินาที  วินดี้แปลงกายป็นดาบสีบรอนเขียวยาวเกือบเมตรออนเนอร์หัวไว ใช้สองมือจับด้ามดาบไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายจึงแทงปลายดาบสวนไปที่กำปั้นของเจ้ายักษ์
ฉวัวะ....!!  กร้า....!!......  เสียงแห่งความเจ็บปวดของเจ้ายักษ์ดังลั่นทันทีที่ปลายดาบวินดี้แทงลึกลงไปกว่าครึ่ง วินดี้กลายร่างกลับมาเป็นร่างเดิมพยายามลอยตัวขึ้นไปเหนือร่างของเจ้ายักษ์สูงประมาณ10เมตรแล้วกายล่างเป็นดาบอีกครั้งใช้แรงดึงดูดของโลกเป็นแรงทำให้ดาบพุ่งลงมาหมายจะปลักลงที่หัวของเจ้ายักษ์นั้น ในขณะที่ดาบพุ่งลงมานั้น เหตุการณ์ที่ทำให้ออนเนอร์แทบหยุดหายใจไปเลยนั้นก็เกิดขึ้น มฤตยูร่างยักษ์เบี่ยงตัวหลบได้ทันควันและยังเอาท่อนแขนอันใหญ่โตปัดกลางตัวดาบ กระเด็นไปไกลเลยทีเดียว ความหวังสุดท้ายที่เป็นทางรอดเดียวในความรู้สึกได้หมดลง
นี่เราต้องตายจริงๆใช้ไหมเขากำลังจะหมดสติ เจ้ายักษ์หันกลับมาสนใจที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง ทันใดนั้นเองก็มีแสงสีน้ำเงินพุ่งเป็นเส้นตรงมาจากด้านหลังของออนเนอร์ พุ่งไปยังเจ้ายักษ์แล้วเกิดการระเบิดขึ้นเสียงดังราวกับฟ้าผ่าร แรงอัดระเบิด ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นครุ้งไปด้วยฝุ่นควัน ในขณะที่เจ้ายักษ์ทรุดอยู่กับพื้นอยู่ในท่าคุกเข่า ก็มีสิ่งมีชีวิตพุ่งออกมาจากม่านฝุ่นจากด้านไหนก็ไม่ทราบได้
 หมาป่า มันเป็นหมาป่าแน่ๆ แต่ทำไมตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ เท่าเสือโคร่งตัวเขื่องๆเลยนะ.........ดี ตายก็ดี จะได้ตื่นจากฝันบ้าๆนี้สักทีนั้นคือภาพและความนึกคิดสุดท้ายที่ออนเนอร์จำได้........ก็มีแค่นี้ ก่อนที่ตนจะหมดสติ
...................................................................................................................................................







ออนเนอร์ ออนเนอร์ ตื่นได้แล้วนายนอนมาวันหนึ่งเต็ม ๆ เลยนะ ออนเนอร์ เสียงที่เข้ามากระทบสติของเขาคือเสียง เสียงของ...  เสียงนั้นเล็กแหลม .....วิ้นดี้ เสียงวินดี้  ออนเนอร์ ลื่นตาขึ้นมา  ภาพแรกที่เห็นคือเจ้า ตัวน้อย  วินดี้  ลอยวนอยู่เหนือไปหน้า
เออ....ฝันอีกแล้ว....ฉันยังไม่ตื่นอีกเหรอ... เขากลอกตาไปมาสังเกตดูรอบ พร้อมกับขยับหัวช้าๆ
เอ้ย...เอ้ย...อย่าเพิ่งขยับ นายยังไม่หายดีนะ ออนเนอร์ นายยังไม่มีอะไร จะต้องมาหนีอีกแล้ว  ปลอดภัยหายห่วง เออ....แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ฝัน
แล้วยักษ์ล่ะ  หมาป่าอีก เป็นไงมาไงเนี่ย ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง  เขายังฝืนขยับกายซึ่งก็รู้สึกเจ็บปวด เคล็ดตามร่างกายไปหมด  วินดี้  ลอยลงมาอยู่ข้างๆหูซ้ายของออนเนอร์
พักอีกสักนิดซิ...หลับตาไว้ก็ยังดี ออนเนอร์ปฎิบัติตามโดยดี
นายจะไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังไปเรื่อย  ๆหน่อยเหรอ...วินดี้...
เออ..ถ้ายังไม่อยากหลับก็จะบ่นไปเรื่อยๆ นายทนฟังได้ก็ฟัง ถ้าทนไม่ได้ก็หลับไปซะ
ยักษ์หมอบไปแล้ว ไปเกิดแล้วมั้ง อิอิ  ส่วนหมาป่าเป็นพวกเรา เป็นคู่หูของ นันโจ คนที่มาช่วยเรา นายคงจำไม่ได้ก็ไม่รู้หรอกนะว่าสลบไปตอนไหน เขาเป็นพรานป่าอาศัยอยู่เขตทุ่งกว้างออสเนสด้านเหนือ นี่ก็เป็นบ้านพักของเขา เตียงที่นายนอนอยู่ก็เป็นเตียงของเขา  ไม่ต้องถามว่าเขาไปไหน เขาไปล่าสัตว์ตั้งแต่ก่อนสว่าง ตอนนี้ก็สายแล้วละเวลาประมาณเมื่อวานตอนนายสลบนะแหละ เอ้ยหลับ รึยัง
ยัง เล่าต่อสิ  เอาให้กระจ่างนะ
ไม่รู้จะเริ่มยังไง คือ เออ ...คือโลกที่นายลืมตามาเนี่ย มีชื่อว่าฟรีดอมเวิลด์หรือเรียกว่าฟรีเวิลด์ โลกที่พระเจ้าสร้างไว้ในมิติคนละภพกับโลกที่นายเคยอยู่ ฟรีเวิลด์มีหลายเผ่าพันธุ์หลากเชื้อชาติ มีเกือบทุกสิ่งที่โลกของนายเรียกว่าเวชมนต์ สัตว์ประหลาด  ของวิเศษ นักเวช นักบวช นักรบ นักล้วง นักพนันแล้วก็อะไรหลายๆอย่างพูดไปเป็นปี  ก็ไม่มีวันหมด เอาง่ายๆคือว่าในโลกที่นายจากมามีอะไร ฟรีเวิลด์ก็มี แต่ในโลกของนายไม่มี ฟรีเวิลด์ก็มี ฮ่า ฮ่า ย้ายมาอยู่นี่เทอะ เทคโนโลยีที่พวกนายมีเราก็มี เวชมนต์เราก็มี นั้นคือสิ่งที่แตกต่าง  เพียงว่าฟรีเวิลด์เล็กกว่าโลกครึ่งหนึ่งและก็ไม่กลมเหมือนโลก แบนๆมั้ง มีอาณาจักรใหญ่แห่งฟรีเวิลด์มีอยู่ 7 อาณาจักร คือ
1.อาณาจักรแห่งดิน ฟูมาลา
2.อาณาจักรแห่งน้ำ วารีเออเรีย
3.อาณาจักรแห่งลม วินารอสเทียร์
4.อาณาจักรแห่งไฟ  ซาลามาดอม
5.อาณาจักรแห่งศาสนจักร ซันบราบิโลน
6.อาณาจักรแห่งความมืด   อัลบรานีเซีย
7.อาณาจักรเมืองท่า เซนเตอร์โซน อาโพลโลนัส
ไอ้อัลบราเนียเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด เชาว์ ยูเครส ผู้นำแห่งอาณาจักร คิดที่จะยึดฟรีเวิลด์ และส่งสานรบไปยังทุกอาณาจักร แล้วก็รุกรานชาวบ้านไปทั่วหวังขยายอาณาจักร เป้าหมายคือยึดทุกอาณาจักรปกครองฟรีเวิลด์
ตลกแล้ว วินดี้ นี่มันนิยายแล้ว....แล้วนายเป็นอะไรล่ะ  พระเอกเหรอ
เฮ่อ....ก็ว่าแล้วเล่าไปก็เป็นอย่างนี้ ข้าไม่ใช่พระเอกหรอก  ข้าคือภูตผู้พิทักษ์ประมวลแห่งลม และเจ้า...ออนเนอร์เจ้าก็คือ องครักษ์พิทักษ์ประมวลแห่งลม  ประมวลแห่งวินารอสเทียร์ หนึ่งในประมวลทั้งสี่ที่เกิดขึ้นหลังสงครามครั้งใหญ่แห่งฟรีเวิลด์ ปกติมันจะต้องอยู่ในพระหัตของกษัตรย์ เท่านั้น แต่ได้มีการร่ายคาถาให้ประมวลหาผู้เหมาะสมเพื่อ....
เพื่ออะไรละ...เพื่อความสงบสุขของโลก น้ำเน่าตายชัก..ที่โลกของฉันแม้สงบสุขก็มีการเบียดบังประโยชน์หลายๆอย่างจากประชาชน  หาความสุขใส่ตัว ครอบครัว พวกตน  โดยเฉพาะชนชั้นผู้นำละตัวดีเมื่อพูดจบประโยคออนเนอร์ก็ถอนหายใจ ดังเหือก วินดี้ก็พูดอะไรไม่ออก สักพักออนเนอร์ก็ทำลายความเงียบขึ้น
แล้วมาคิดๆดูก็มีคนที่มาจากโลกเดียวกับฉันอีกสามคนนะสิ โอ้ยไม่คิดบ้างเหรอ ว่าดึงตัวพวกฉันมาอย่างนี้แล้วทางบ้านของพวกฉันจะเป็นตายร้ายดีกันอย่างไรละ ฉันเป็นห่วงคุณยาย จะกลับยังไงล่ะ
กลับไม่ได้  ไม่มีทางกลับได้ถ้าอาณาจักรอัลบรานีเซียยังไม่ล่มสลาย และข้าก็ไม่ได้เป็นผู้เลือกเจ้า ถ้าข้ามีสิทธิ์เลือกข้าก็จะไม่เลือกเจ้า เจ้านะขี้ขลาดที่สุดออนเนอร์ลืนตาขึ้นหันหน้าไปทางวินดี้  เขาง้างหัวแล้วโขกหัวไปกระแทกวินดี้กระเด็นหล่นลงจากเตียงไป
ไอ้ภูตห่วยแตก แปลงร่างได้แค่ดาบ แน่จริงแปลงเป็นปืนครกสิ จะได้ยิงเจ้ายักษ์ให้มอบกระแตไปเลย ยังมาทำพูดดี
โอ้ย...โอ้ย...เจ็บนะเฟ้ย บังอาจมาลองดีกับภูตประจำประมวลเหรอ เดี๋ยวก็แปลงเป็นดาบทิ่มซะนี่  วินดี้ลอยตัวขึ้นมาต่อว่าเป็นวักเป็นเวร
เออ.....ถ้าเป็นงั้นจริงฉันคงจะไปไหนไม่ได้แล้วละ แล้วฉันจะทำไงดีเนี่ย.....โอ้ย...ปวดหัว
อย่าคิดมากไปไอ้หนูข้าจะเป็นพี่เลี้ยงให้เจ้าเอง เห็นอย่างนี้ข้าก็มีอายุมากว่าร้อยปีแล้วนะ  ไอ้เหลนชาย ฮ่า ฮ่า
แล้วเราจะไปฆ่า เชาว์ ยูเครส อะไรได้เมื่อไรละ คุณทวดเจ้าครับ
ก่อนอื่นก็ พักก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง เออแล้วจะเหล่าให้ฟังถึงประมวลที่นายใช้เวชเมื่อวานนี้ เอะ!!แล้วนายไม่สงสัยเรื่องนี้เหรอ วินดี้ทำหน้า งง ออนเนอร์ ก็ อธิบายไม่ถูกถึงลักษณะของหน้าวินดี้ เหมือนลูกเทนนิสเปล่งแสงได้มากกว่าลูกไฟ เนื้อของวินดี้นุ่มนิ้ม เด่งได้คล้ายยาง มีดวงตายังกับตากระตากระต่าย ไม่มีจมูกกับหู แต่มีปาก และรู้สึกว่าจะปากมากด้วยสิ
ไม่งะ ไม่สงสัยแล้ว เคยอ่านนิยาย ดูการ์ตูน มันจะต้องเป็นคาถาใช้เวช จากสภาพแล้วจะต้องอ่านออกเสียงถึงจะใช้ได้ แต่ที่ยังคิดอยู่คือ มันมีเพียงสองคาถาและ เมื่อใช้คาถาแล้วเพลียมากเลย ไม่อยากใช้อีกถ้าไม่จำเป็น
เรื่องรายระเอียดในการใช้ประมวลนะเหรอ ตอนฉันได้รับคำสั่งให้เป็นภูตประจำประมวลก็ได้ศึกษามาบ้างนะคือ ประเด็นเรื่องประมวลนั้น.......
ประมวลเป็นผู้เลือก คนมาพิทักษ์ จึงอนุญาตเป็นคาถาๆไป เมื่อผู้ครองประมวลเหมาะสมคู่ควรหรือถึงกาลสมควร คาถาจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆเนื่องจากคาถาเป็นของอาณาจักร แต่เวชขาวแห่งศาสนจักรมาสะกดผู้ใช้คือเหมือนประมวลจะมีชีวิต ทดสอบผู้ครอง ข้าก็รู้ว่ามีคาถา อืม...ไม่รู้ว่ามีกี่คาถาแต่คาถาสุดท้ายคือบิ๊กแบง การระเบิดตัวเองของประมวลซึ่งจะทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่อนุภาพสามารถทำลายอาณาจักรใหญ่สักอาณาจักรเลยเชียว แต่ยังไม่มีใครกล้าใช้เลยเพราะทำลายได้แค่อาณาจักรเดียวใช้แล้วก็หมด ส่วนมากจะมีการลอบชิงประมวลกันมาเพื่อระเบิดทำลายอาณาจักรอื่น จะไม่ใช่ประมวลของอาณาจักรตนเด็ดขาดเพราะ ว่า...มันมีการคานอำนาจกันอยู่ ใครอ่อนแอก็ถูกผู้แข็งแกร่งยึดครองอำนาจ ประมวลก็เหมือนเขี้ยวเล็บ ถอดมาขว้างกันไม่ได้ ถ้าเราขว้างไปแล้ว ศัตรูตายไม่หมด ไอ้คนอื่นที่มีเขี้ยวเล็บมันก็จะมาฆ่าเรา
ยกตัวอย่างซะ งง เชียวนะ  สรุปว่าการกลัวกันเองของแต่ละอาณาจักร และการสะกดด้วยเวชขาวทำให้ประมวลใช้ยากขึ้น อีกอย่างคือประมวลเลือกผู้พิทักษ์ โอ้แล้วมาเลือกฉัน ออนเนอร์ คีย์เซอร์เด็กหนุ่มอายุ18 ผู้ยังไม้เคยต้องสตรีคนใดเลย ......ฉันต้องไม่ตายนะ ไม่ตาย ตายไม่ได้  ประโยคหลังเขาพูดให้กำลังใจตัวเอง
ฮึ ฮึ กล้าเป็นกับเขาด้วยรึ นึกว่าจะขี้ขลาดเป็นอย่างเดียว  เออแล้วไอ้ที่เพลียนะ เป็นเพราะประมวลจะดูดพลังผู้ใช้
เฮ้ย พลังไร.....พลังชีวิต....ฉันใช้คาถาแล้วอายุจะสั้นลงไหมหะ วินดี้ ออนเนอร์สะดุ่งตัวลุกขึ้นมานั่งทันที
ฟังให้จบก่อนสิ ที่พูดว่าพลังนะ คือพลัง....อีร์เพาว์....คือ อีลีเม้นเพาว์เวอร์ พลังแห่งธาตุ หรือคล้ายๆที่โลกเจ้าเรียกกันว่าพลังจิตนั้นแหละน่า  เนื่องด้วยร่างกายคนเราประกอบจากธาตุทั้งสี่  ดิน น้ำ ลม ไฟ แสดงว่านายมีธาตุลมเป็นธาตุประจำชีวิตจึงใช้พลังลมได้ มีหัวใจแห่งลม ไม่งั้นเดี้ยง...แน่
เหรอ พลังอะไรฉันก็ไม่ใช้ทั้งนั้นแหละ จะบ้าตาย เหนื่อยมากเลย นายไม่รู้หรอก
การที่ข้าแปลงร่างเป็นดาบก็เสีย อีร์เพาว์  เหมือนกันนะ ไม่ว่าจะลอย บินก็เหนื่อยเหมือนกัน ภูตก็มีเนื้อมีหนัง เจ็บเป็นเหมือนกันนะ วินดี้ตะเบ็งเสียงใส่
เหรอ แล้วฉันมีอีร์....อะไรนั้นเท่าไรละ แล้วนายมีเท่าไรละ
จะไปรู้ได้ไงล่ะ แค่คาถาพื้นฐานก็บ่นแล้วคงมีน้อย ส่วนฉันให้บินสูงมาก็ไม่ได้หรอกแล้วก็บินไกลๆก็ไม่ได้ด้วย ไม่ใช่นกพิราบอยู่ห่างประมวลเกินร้อยเมตรก็ไม่ได้ด้วยออนเนอร์เริ่มขยับกายมานั่งห้อยขาที่กลางเตียง เมื่อนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากข้างนอกบ้าน เป็นเสียงเห่าของสุนัข ฟังดูเหมือนกำลังเล่นอยู่
เสียงอะไรงะ วินดี้   ออนเนอร์ทำหน้าสงสัย หันไปที่วินดี้
อ๋อ...นันโจมาแล้ว ออกไปตั้งแต่เช้า ...
นันโจ.....
ก็พรานคนที่ช่วยชีวิตนายยังไงล่ะ ส่วนเสียงเห่าก็เป็นเสียง หมาป่าที่นายถาม ทิวดัสสุนัขป่าสีเงิน
เดี่ยวเขาก็คงเข้ามาแล้วแหละในท่านั่ง ออนเนอร์  ชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นแต่ลานกว้างกับบ่อน้ำ มีลักษณะเป็นบ่อดินสร้างมาจากก้อนหินเรียงต่อกันเป็นชั้นๆๆๆ
          เออ....  วินดี้ นายยังไม่ได้เล่า เรื่องที่นายกับฉันมาอยู่ที่นี้ได้ยังไงให้ฉันรู้เลยนะวินดี้ กระเด็งตัวขึ้นมาจากเตียงมาอยู่บนไหล่ซ้ายของออร์เนอร์
          ข้าก็ลืมเล่าให้เจ้าฟัง นะออนเนอร์ คือ.......... ข้าก็ยัง งง ๆ อยู่เอาเป็นว่า...............
นายจำตอนที่มีลำแสงประหลาดน้ำเงินพุ่งเข้าไประเบิดตรงเจ้ายักษ์ได้ไหมล่ะ หลังจากการระเบิดฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปหมด ในขณะนั้นข้าก็กระเด็นไปไกลทีเดียวเชียวเพราะโดนเจ้ายักษ์ปัดร่างข้าตอนที่เป็นดาบกระเด็นออกมา แล้วข้าก็กลายร่างกลับทันที ข้าพยายามลอยไปหาเจ้าแต่ก็เห็นเจ้า สลบหมดสติลงแล้วในเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็มีหมาป่าสีเงินขนาดใหญ่ กระโจนตัวออกมาจากม่านหมอกตรงเข้าไปทำร้ายเจ้ายักษ์ขณะที่ข้ากำลังลอยวนอยู่ข้างๆเจ้าในขณะที่เจ้าหมดสตินั้น ข้า ก็ได้เห็นชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามายังบริเวณนั้นเป็นชายร่างท้วมสูง ดูกำยำ อยู่ในชุดขนสัตว์ ในมือขวาถือหน้าไม้ มือซ้ายล่วงกระเป๋าสะพาย ข้างหลังมีกระบอกศร ข้ามองเห็นตั้งแต่แรกแล้ว น่าจะเป็นพรานแถวนี้ เขาได้หยิบลูกแก้วอะไรบางอย่าง ปาเข้าไปใส่เจ้ายักษ์ ในขณะที่ลูกแก้วหลุดพ้นออกจากมือเขา มันก็แปลงรูปเป็นลำแสงสีน้ำเงินเช่นเดียวกับลำแสงปริศนาที่เห็นในตอนแรกเหมือนกับรู้จังหวะเจ้าหมาป่าสีเงิน ที่กำลังขยำแขน ก็ผลักออกจากแขนของเจ้ายักษ์ทันที ก่อนที่ลำแสงสีน้ำเงินจะพุ่ง เข้าถึงตัวเจ้ายักษ์ เพื่อปลิดลมหายใจ ของเจ้ายักษ์ข้ารู้สึกว่า มันเกิดการระเบิดดังสนั่นกว่าครั้งแรก ฝุ่นคลุ้งกระจายไปหมด และแล้ว เมื่อม่านฝุ้นเริ่มมจางลง ข้าก็เห็นเจ้ายักษ์นอนจมกองเลือดสีม่วงเข้ม และต่อจากนั้น ข้าก็รู้สึกว่า โลกทั้งใบรอบๆตัวข้ามีแต่ความมืดราตรีช่างผ่านมารวดเร็วแท้ช่างดับลับไปเร็วเหลือเกินแต่ข้าก็มารู้ทีหลังว่าถูกพรานนันโจ เอาถุงผ้าคลุมแล้วก็ถูกพาตัวมาที่นี้พร้อมกับเจ้า มารู้ตัวอีกทีก็เกือบเย็น ตอนที่เขานำข้าออกจากถุงผ้าใบนั้น ข้าก็มาอยู่ในบ้านพักหลังนี้แล้ว ข้าได้พูดคุยกับนันโจ และ ทำความรู้จักกับเขาแล้ว เขานิสัยดีมาก และ ปฐมพยาบาลให้เจ้าด้วย
          ว่าไงวินดี้ สหายของเจ้าฟื้นรึยัง ข้าล่าไก่งวงตัวใหญ่ กะว่าจะมาชวนเจ้าไปกิน ว่าแต่เจ้ากินอะไรล่ะ
ประตูบานนั้นก็ค่อยๆเปิดออกมา สิ่งแรกที่ออร์เนอร์เห็นคือท่อนขาขนาดใหญ่สวมรองเท้าบูทสีน้ำตาลที่ทำด้วยวัสดุจากหนังสัตว์ หลังจากที่ประตูเปิดอ้าจนสุด แล้วบุคคลนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ในบ้านพักหลังนั้น ออนเนอร์  เห็นชายคนนั้นก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใด เนื่องจากรูปร่างลักษณะของชายผู้นี้ หาได้มีเค้าเป็นพรานป่าเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเปลี่ยนชุดหนังสัตว์สีน้ำตาล บูทสีน้ำตาลเป็นโทนสีแดงชายผ้าเป็นขนสัตว์สีขาว มันก็ซานต้าครอสยังไงยังงั้น จะต่างก็เพียงเสื้อผ้าสีของผมกับหนวดเคราของซานต้าครอสเป็นสีขาว แต่พรานผู้นี้มีเส้นขน ผม เป็นสีน้ำตาลประกายแดง นัยตาสีน้ำตาลไหม้ บุคลิกท่าทางโอบอ้อมอารี
          ออนเนอร์ ..............ไง จะมองฉันตลอดทั้งวันเลยรึ พ่อหนุ่ม เรื่องของนายนะ ฉันรู้จาก  วินดี้  หมดแล้ว ยังเจ็บตรงไหน รึเปล่าล่ะ ปวดไหม ฉันมียารักษาแผลด้วยนะ ออนเนอร์สะดุ้งโหย่ง  ตื่นจากภวังค์ พูดอย่างละลำลักว่า
          " ครับ... ปะ เปล่าๆๆๆครับ เออ.......เออ.......คือ.. ผมชื่อออนเนอร์ คีย์เซอร์ ครับ ขอบคุณที่ช่วยผมไว้"
          " โฮ้ๆ    ๆ ไม่เป็นไร  ฉัน  จะมาชวนเธอออกไปกินอะไรกันซักหน่อยนี้ก็สายแล้ว "
          "ครับ   ครับ"  ออร์เนอร์พยุงกายขึ้น ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดเล็กน้อย
          " ยังไม่หายดีเหรอเนี้ย ลุกไม่ไหวก็ไม่ต้องนะ เดี๋ยวฉันจะเอาให้นายกินตรงนี้แหละ"
          " ไม่เป็นไรครับ ผมอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย "
          " ไหวนะ เธอเดินเองได้รึเปล่า งั้นฉันออกไปแล่ไก่งวงข้างนอกก่อนนะ เข้ามาชวนเธอฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย  ไปออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยก็ดี" นันโจ ก็หันกลับเดินออกไปทางประตู วินดี้ ก็กระเด็งตัวออกจากไหล่ของออนเนอร์ ลอยตัวตามนันโจออกไป แล้วหันกลับมาพูดกับออนเนอร์ว่า
          " สำออยนะออนเนอร์ ที่โลกของนายเขาเรียกอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าเจ้าลุกไม่ไหว เจ้าก็ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว อาหารนะ ผู้พิทง ผู้พิทักษ์ องครักษ์พิทักษ์ ประมวลอะไรก็ไม่ต้องเป็นแล้ว สวรรค์นะสวรรค์" พร้อมกับลอยตัวออกไป
          " หึ หึ "  ออนเนอร์ สะบัดหัวไปมา ให้คลายจากอาการมึน  ค่อย    เหยียดแขน เหยียดขา บิดขี้เกียจ เพื่อคลายความเมื่อยล้า แล้ว ค่อยๆใช้มือทั้งสองพยุงกายขึ้น ในใจเขาคิดว่า เหตุใดจึงต้องเป็นเขา  ทำไมไม่เป็นเด็กคนอื่น  ในหัวสมองเขา ก็มีความคิดขึ้นมาความคิดหนึ่ง ว่า เขาเป็นหนี้ชีวิต วินดี้ ตั้งแต่ตอนที่วินดี้บินลอยขึ้นไปเหนือศรีษะของเจ้ายักษ์แล้วแปลงร่างเป็นดาบพุ่งลงมา ถ้าภูตน้อยนั้นมิได้มีจิตใจกล้าหาญ ก็คงได้แต่บินวนไปวนมา  ช่วยอะไรไม่ได้ อย่างน้อยที่เขาหลุดหลงเข้ามาในดินแดนลึกลับแห่งนี้ สิ่งที่ไม่ได้ติดตามเขามาคือความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอย่างน้อย วินดี้ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างเลย ถึงจะพูดมากไปก็เหอะ
          เมื่อเด็กหนุ่มก้าวเท้าตอนเองออกมาพ้นจากประตูก็มาอยู่ที่นอกชานของบ้าน เด็กหนุ่มสังเกตลักษณะของบ้านมาตั้งแต่เขาลืนตาขึ้นแล้ว บ้านชั้นเดียวทั้งหลังสร้างจากท่อนซุงทั้งท่อนนำมาต่อกันเป็นเสา ผนัง แม้แต่อุปกรณ์ตกแต่งข้างใน เหมือน ห้องพักตาม รีสอร์ทธรรมชาติที่ดีๆสักที่ เนื้อที่ไม่กว้างนักมีเตียงสำหรับหนึ่งคน ตู้เก็บของ โต๊ะไม้กว้างไม่เกิน 30 ตารางเมตรหรือ ห้องนอนใหญ่ ๆ สักห้องเท่า   นั้นคือภายใน 
          ส่วนด้านนอกเป็นนอกชานพื้นปูด้วยแผ่นไม้ยกระดับจากพื้นประมาณหนึ่งฝ่ามือ มีหลังคาแผ่นไม้ยื่นออกมาจากตัวบ้าน เป็นระเบียงที่รู้สึกจะเป็นที่นั่งพักตากอากาศชมวิว ทิวทัศน์ ในขอบเขตการมองเห็นจากดวงตาทั้งสองนอกจากลานโล่งหน้าบ้านพัก ถัดออกไปถัดออกไป ถัดออกไปสุดลูกหูลูกตาเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี สลับป่าขนาดย่อมๆ แต่ส่วนใหญ่ของพื้นที่ เป็นท้องทุ่ง สีเขียวสด  กึ่งกลางลานโล่งมีบ่อน้ำถัดจากบ่อน้ำหิน เป็นบริเวณที่ก่อกองไฟที่พรานนันโจก่อขึ้นเพื่อประกอบอาหาร  ไก่ง่วงตัวโตต้องเปลวไฟ กลิ่นหนังไก่ไหม้ไฟโชยมาแตะจมูก เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องมานานตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
          บ้านคุณสวยดีนะครับ คุณนันโจ
          อ๋อ...ชมกันเกินไป ฉันสร้างเองกับมือเลยนะเนี่ย ดูสะอาดไม่เหมาะกับพรานอย่างฉันเลยใช้ไหมละ
          เปล่านี่ครับ  ก็....เออ วินดี้ละครับ
          บินไปกับเล่นทิวดัสนะ มันคงจะไปจับปลาในแอ่งน้ำในป่าด้านหลังบ้านไม้นะ
          สนัขป่าตัวใหญ่ตัวนั้นนะ เหรอครับ
          อืม ใช่...สุนัขป่าสีเงิน เมื่อสามปีที่แล้วฉันไปเจอเข้า ตอนที่แม่มันกำลังจะตายเพราะถูกงูพิษกัด

          ออนเนอร์ เธอไม่ใช่ คนของฟรีเวิลด์เหรอ  วินดี้เล่าให้ฉันฟัง เมื่อวานนี้มันเป็นภาระที่ค่อนข้างหนักเลยนะสำหรับเธอที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่ม
          วินดี้เล่าให้ฟังแล้วเหรอครับ .....ไม่รู้ว่าผมจะต้องทำอะไรต่อไป ในโลกใหม่ใบนี้
          ก็ทำให้ดีที่สุดสิ  จะทำอะไรได้มากกว่านี้  ก่อนอื่นก็ต้องไปเจอองครักษ์พิทักษ์ประมวลคนอื่นๆก่อนสิ
          วินดี้เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังด้วยเหรอครับ....
          เปล่าหรอก ฉันนะเคยเป็นทหารองค์รักษ์แห่งเซนเตอร์โซน อาโพลโลนัส ซึ่งเข้าร่วมพิธี จุติประมวลเทพนั้นด้วยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว  ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงวินดี้ ตะโกนมาแต่ไกลลอยตามหลังทิวดัส สุนัขป่าสีเงินที่ในปาก คาบปลาอะไรก็ไม่รู้ตัวโตเชียว
          โอ้..มากันแล้วเหรอ ไหนทิวดัสได้ปลามาตัวใหญ่เลย ฮ่า ฮ่าเก่งมากเลย เจ้าหมาป่าวางปลาตัวเกือบท่อนแขนลงใกล้กองไฟ
          เจ้าคงเบื่อไก่งวงแล้วสินะ เออดี...ข้าจะได้ไม่ต้องแบ่งไก่งวงให้เจ้าทิวดัส งั้นเอามาย่างให้สุกแล้วค่อยกินแล้วกันเจ้าทิวดัสจ้องหน้าของนันโจ ดั่งเข้าใจความหมายที่นันโจสื่อด้วยคำพูด มันใช้ปากส่วนปลายจมูกเสือกปลาไปให้นันโจ นันโจจึงนำปลาไปย่างโดยใช้ไม้แหลมที่เหลาไว้เสียบปลาแล้วจึงมาอังไฟ  ด้าน  ออนเนอร์ก็สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างพรานป่ากับสัตว์คู่หูอย่างประทับใจลึกๆอยู่ข้างใน ระหว่างที่รออาหารสุก วินดี้  ก็ทำลายความเงียบขึ้นว่า
                เออนี่... นันโจถ้าจะไปเซนเตอร์โซน อาพอลโลนัส ต้องเดินทางไปทางไหนเหรอ ไกลไหม และกี่วันจะถึงเซนเตอร์โซน  พอจะรู้ รึเปล่า นันโจ  พลิก ไก่ง่วงเสียบไม้และปลาตามปกติ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า
                ไปทางเหนือ ผ่านทุ่งออสเนสไปจนถึงป่ารอบนอกของ ฟรีเวิลด์ เลค แล้วทะลุป่าต่อไปทางทิศตะวันออกจนเจอ มหาทะเลสาบฟรีเวิลด์ เลค  เมื่อพบทะเลสาบแล้วก็ต้องอ้อมเลาะทะเลสาบลงทางทิศตะวันออกเพื่อไปอีกด้านของทะเลสาบ แล้วจะเจออาณาจักรเซนเตอร์โซน อาพอลโลนัส  อาณาจักรที่เป็นกลางที่สุดและมีประชากรหลากหลายที่สุด การเดินทางไปไม่ลำบาก แต่ไม่น่าจะไปได้
                หมายความ ว่าไงเหรอนันโจ ที่ว่า  การเดินทางไม่น่าลำบากแต่ไม่น่าจะไปได้นะ วินดี้เลยตัวขึ้นลง เหมือนส่งสัย ส่วนออนเนอร์ก็ยังคงเงียบคอยฟังการสนทนาของทั้งคู่ เพราะยัง ไม่รู้เรื่องเกี่ยว กับสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากัน  นันโจยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม แต่ก็พลิกกลับสิ่งที่จะเป็นอาหารของทั้งสี่ชีวิต เพื่อให้สุกอย่างทั่วถึง
                วินดี้ เราต้องไปที่เซนเตอร์โซนเหรอ  ไปทำอะไรที่นั้น ออนเนอร์เป็นฝ่ายถามวินดี้หลังจากที่ นันโจยังเงียบอยู่
                ก็เมื่อปรากฏว่า มีองครักษ์พิทักษ์ประมวลจุติแล้ว ภูตประจำประมวลต้องพาบุคคลเหล่านั้นไปรวมตัวกันที่นั้น เพื่อฝึกฝนวางแผน เพื่อเข้าต่อกรกับ ทัพมืด
                ที่นายถามนะ คำตอบมันก็คือ มีข่าวโคมลอยมาตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้วว่า จะมีการจุติองครักษ์พิทักษ์ประมวล กองทัพหนุนของ อัลเบริก ดานอล เพื่อนสนิทของ เชาว์ ยูเครสหรือลูกน้องของมัน ที่คุมทัพหนุนของอัลบรานิเซียอยู่ที่เทือกเขาคอโรรัส ทะเลสาบดำ คอเคโรรัสซึ่งอยู่เหนือทะเลสาบฟรีเวิลด์ไปไม่ไกลมากนัก มีพรมแดนกันเพียงเทือกเขาปลายหางของเอิสแท็คหรือเขามังกรดินกว่าที่ พวกเธอจะเดินทางไปถึงป่ารอบทะเลสาบ ทัพหนุนของอัลเบริกก็คงวางกำลังเข้ายึด ตลอดแนวรอบทะเลสาบเพื่อ ดักสกัดสังหารทุกคนที่น่าจะเป็นองครักษ์พิทักษ์ประมวลหรือทัพฟรีเวิลด์  สิบกว่าปีมานี้ เชาว์สะสมกำลังได้มากกว่าศึกครั้งก่อนเสียอีก นันโจพลิกปลาอีกไม่กี่ครั้งแล้วจึงโยนไปใกล้ๆทิวดัส ทิวดัสก็ เห่าตอบหนึ่งครั้ง คล้ายจะขอบคุณแล้วก็ มองดูหน้าของนันโจด้วยความสงสัย
                เจ้ากินก่อนเลย ทิวดัส ไก่ง่วงมันตัวใหญ่ พวกฉันคงกินทีหลังเจ้า กว่าจะสุก ไม่เป็นไร ฉันจะกินไปคุยไป  คงนาน เจ้ากินเสร็จก็ไปวิ่งดู สัตว์อื่นรอบๆด้วยล่ะ คล้ายจะเข้าใจกัน ทิวดัสเห่าตอบมาอีกหนึ่งครั้งแล้วเริ่มลงมือ จัดการกลับปลาย่างตัวนั้น
                เอองั้น คุณจะหมายความว่า มันดักเล่นงาน ผมกับ วินดี้  เหรอครับ แล้วผมกับวินดี้จะไปกันได้อย่างไรล่ะครับ คาถาผมก็ได้แค่สองบทเอง ฝีมือก็ไม่มี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ไม่ใช่สิ มันคงเป็นไปไม่ได้เลยมากกว่า
                แล้วมีทางอื่นรึเปล่า นันโจ แนะนำหน่อยสิ วินดี้เอ่ย
                ก็ กำลังจะบอกว่า ให้ขึ้นเหนือ ไปที่เทือกเขาคอเคซัส ไปจนถึงทะเลทราย ซาลามาดอม แล้วค่อยเดินเลาะพรมแดนไปทางตะวันออกจึงจะ ผ่านด้านหลังของเทือกเขาคอเรโรรัสเพราะ เทือกเขาที่จะไปนันคือเทือกเขาสองพี่น้อง เทือกเขาพี่ คอเคซัสจะอยู่ทางทิศตะวันตก เทือกเขาน้อง คอเคโรรัสอยู่ทางตะวันออกเชื่อมต่อกัน และผ่านปราสาทอัลกาสของเบริก เนื่องจาก อัลเบริกจะส่งกำลังส่วนมากเกือบทั้งหมดมาประจำที่ รอบนอกทะเลสาบฟรีเวิลด์ เลค พวกเธอจะได้ผ่านไปไม่ยากนัก จนผ่านทะเลสาบดำไป ก็จะเจอแนวเขาปลายหางของมังกรดินเอริทแท็ค มันจะมีช่องแคบเชื่อมต่อทะลุไปจนถึงชายแดนด้านเหนือของเซนเตอร์โซน นันโจอธิบายเป็นฉากๆ อย่างช้าที่สุด คือถ้าจะไปเซนเตอร์โซนมีสองทาง หนึ่งคือเดินทางไปทิศตะวันออก ถ้ามองเป็นแผนที่ ก็คือ จุดเรี่ม แล้วขีดเส้นต่อไปทางขวาเรื่อยๆก็จะพบทะเลสาบ แล้วเดินทางรอบทะเลสอบลงด้านล้าง เลาะริมทะเลสาบไปเรื่อยๆก็ถึงใช้เวลาเดินทางประมาณเดือนกว่า ส่วนทางที่สอง เดินไปทางทิศเหนือ คือขีดเป็นเส้นตรงขึ้นบนไปเรื่อยๆ ผ่านเทือกเขา เจอทะเลทรายก็หยุดแล้วไปทางทิศตะวันออกคือขีดเส้นต่อไปทางขวาเรื่อยๆ จนเจอช่องแคบ อะไรซักอย่างแล้วลงใต้อีกก็ถึง ใช้เวลากว่าสองถึงสามเดือน   หลังจากที่นันโจพูดจบออนเนอร์กับวินดี้ หันมาสบตากันราวกับสหายรวมชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยง   
                คือก็รู้ว่า  คงจะหนักใจแต่ก็เมื่อ อาทิตย์ที่แล้วก็ได้ข่าวจากนักเดินทางว่า เซนเตอร์โซนประกาศชุมนุมรวมประมวลอีกสี่เดือนข้างหน้า ถ้าไม่รังเกียจนะออนเนอร์ นายน่าจะเรียนรู้วิธีเอาชีวิตรอด ในฟรีเวิลด์นะ ไม่ว่า การใช้อาวุธพื้นฐาน ฝึกร่างกาย ศึกษาเรื่องสมุนไพร พันธุ์พืช  สัตว์  อันตรายต่าง กับสิ่งวิเศษอะไรอีกหลายอย่าง เนื่องว่าในการเดินทาง  อย่างไรเธอก็ต้องเจอ เข้าจนได้ จะได้ไม่เป็นอันตราย เมื่อพูดจบเขาก็นำไก่งวง ออกมาแล้ออกแล้วใช้ไม้แหลมเสียบในส่วนสะโพกแล้วส่งให้ออนเนอร์ และใช้มีดสั้นแล้เนื้อส่วนอกเป็นชิ้นเล็กให้ วินดี้
                ขอบคุณครับ คุณนันโจ ออนเนอร์ก็เริ่มกินโดยไม่รั้งรอ เพราะยังไม่ได้กินอะไรมาวันเต็มๆ
                อร่อยมากนันโจ รู้สึกจะใส่สมุนไพรด้วยสินะ
                รู้ได้ยังไง  วินดี้ เธอนี่ก็ไม่ได้ธรรมดาเลยนะ ดูมีไหวพริบ ก็คงจะต้องคอยดูแลกันและกันต่อไปกับ ออนเนอร์แหละนะ
                ก็มันเป็นหน้าที่นี่นา เพื่อข้าจะได้เป็นเทพ กับเขาบ้าง ฮ่า ฮ่า วินดี้พูดเชิงติดตลก พร้อมกับกระเด่งตัว
                แล้ว ผมจะเรียนจากไหนล่ะ ครับ วินดี้ก็ได้แต่บอก ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย
                ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันจะช่วยแล้วกัน สักหนึ่งเดือนคงพอนะ แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจด้วยออนเนอร์ แค่ปัญหาในโลกของพวกเรา ยังต้องดึงเธอเข้ามาช่วยก็ นี้ก็นับเป็นบุญคุณมากแล้ว มันผิดที่ทหารฟรีเวิลด์ไม่สามารถสังหารเชาว์ ยูเครสได้นั้นแหละ และอีกอย่างมันก็เป็นหน้าที่ของฉันด้วยในฐานะ ประชาชนแห่งฟรีเวิลด์
                เดี๋ยวทานเสร็จ ผมจะฝึกเลยนะครับ ฝากตัวตัวนะครับ
                โอโห้...ไฟแรง จริงๆยังไม่หายดีเลย วันนี้ยังก่อน เธอต้องพักผ่อนให้หายดีก่อนแล้วค่อยเริ่ม...กัน วันนี้ก็ไปอาบน้ำที่แอ่งน้ำในป่าด้านหลังนู้นก่อน แล้วก็ไปหาหนังสือในตู้เก็บของอ่าน ก่อน หรือให้ วินดี้อ่านให้ฟังก่อ  นสำหรับวันนี้นะ
                ครับ  นายไปกับฉันด้วยนะ วินดี้
                ฮือ...ต้องถึงมือข้าอีกแหละ ทีอ่านคาถายังอ่านได้เลย... วู้...
                ภายหลังจากการทานอาหารมือแรกของวัน  ออนเนอร์ก็ออกเดินสำรวจรอบๆบ้านพักสำรวจป่าด้านหลัง อาบน้ำ แล้วจึงเข้ามาหาหนังสืออ่าน โดยมีวินดี้ลอยตามหลังไปอยู่ด้วยตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้านันโจออนเนอร์และ วินดี้ดูจะเป็นคู่หูที่ดี แต่ลับหลังคู่กัดกันดี ๆ นี่เอง
                ไหนดูสิ มีหนังสืออะไรบ้าง ออนเนอร์เปิดตู้ค้นสิ ข้าจะช่วยอ่านให้ฟัง
                นี่ วินดี้ นายไม่คิดจะมีมือมีเท้าบ้างเลยรึไง กินแรงชาวบ้าน ภูตอะไรเอาเปรียบจัง
                ข้านะ ชนชั้น ผู้บังคับบัญชา ไม่ต้องทำอะไรเองหรอก ฮ่ะ ฮ่ะ
                ก็ ลูกน้อง ของลูกน้องเทพ อีกทีไม่ใช่เหรอ ทำเป็นคุย ฟังแล้วมันคันหู รู้ไหมเนี่ย
                เออ ก็อนาคตข้าก็ต้องเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ อย่าพูดเลยนะ เถียงต่อก็ชนะ เจ้านะไม่ได้ครึ่งข้าหรอก เอ้!!..นี่ไงหนังสือ พืชและสัตว์ อา...แล้วก็นี่อีกของวิเศษแห่งตะวันตก....อันตรายแห่งฟรีเวิลด์ตะวันตก
                เฮ่อ... เราจะมีคนอ่านให้ฟังด้วยเหรอเนี่ย สบายดี นี่วินดี้ ถ้าไม่ตาย  ไปอ่านให้ฉันฟังที่โลกของฉันบ้างนะ
                เอ้ย ข้าอ่านให้แล้วได้ใจเหรอ อ่านแค่เที่ยวเดียวนะ ไม่อ่านซ้ำ ฟังดีๆ  เอาเล่ม อันตรายก่อนละกัน จะได้ไม่ตายกันก่อนจะได้อ่านเล่มอื่น  อึม อึม อันว่าอันตรายแห่งโลกด้านตะวันตกนั้นมีอยู่มาก เพราะผู้คนไม่นิยมอาศัยกันบริเวรนั้นเนื่องจาก..................................และ วิ้นดี้  ก็ อ้าปากร่ายมนต์สะกด ออนเนอร์ต่อไป เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเกือบหลับไปก็หลายที เถียงกันก็หลายหน ไปจนได้เวลาอาหาร แล้วก็มาอ่านอีก แล้วก็ถึงเวลานอน เพราะบ้านพักแคบ พรานใจดีนันโจจึงออกไปนอนค้างที่กลางป่าอันมีบ้านต้นไม้เป็นที่พักอีกแห่ง กลางดึงคืนนั้น
                ออนเนอร์ หาได้นอนหลับไม่ เปลือกตาของเขาไม่ยอมลงมาบังแก้วตาอันเป็นเสมือนกล้องถ่ายภาพ แต่มันก็หาได้ภาพในสถานที่นั้นไม่ หากแต่เป็นภาพความทรงจำตั้งแต่ก่อนที่จะ มาสู้ที่นี้ ความห่วงต่างๆ ปะดาปะดังมาให้คิดไม่หยุดหย่น ครั้นเมื่อถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน
                เอ้า.!!..ยังไม่นอนอีกพรุ่งนี้ต้องซ้อมร่างกายกับอาวุธนะ เดี๋ยวก็ สลบแบบตอนนั้นอีกหรอก
                นี่วินดี้ ฉันอยากรู้ว่า ในทุกนาทีที่ฉันมานอนอยู่นี่ เวลาที่โลกจะเป็นไงบ้าง คนที่นั้นจะห่วงฉันไหม
                ก็ไม่รู้ ถ้าเสร็จ จากช่วยฟรีเวิลด์แล้ว อาจได้พรจากมหาเทพให้ย้อนเวลาโลกของเจ้าให้กลับไป ณ เวลาที่เจ้าจากมาได้ ก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้พรกี่ข้อนะ
                งั้นก็โล่งใจ แต่ที่ยังห่วงคือ ฉันไม่เป็นเวชเลย  แล้วจะเป็นยังไง ผู้พิทักษ์นะอ่อนหัดอย่างนี้
                ออนเนอร์จะบอกอะไรให้นะ เจ้านะท้อถอยง่ายเกินไป เจ้ายังไม่ลองดูเลยนะ เจ้าอาจเหมาะสมจริงๆกะได้เพราะว่าข้า ก็เคยได้ยินว่าไม่เคยมีใครใช้ คาถาได้ สองบทพร้อมกัน ขนาดผู้ใช้คือKINGของแต่ละอาณาจักร   ลึกๆข้าก็มีความเชื่อบางอย่างว่า เจ้าต้องทำได้.......แต่ก็ไม่เก่งกว่าข้าหรอก ฮา ฮา ถ้าข้าไม่เลือกเป็นเทพนะ ข้าก็คงได้เป็นผู้พิทักษ์ ฮา ฮา อย่างเจ้ายังห่างไกลไอ้น้อง ฮา ฮา
                นึกว่าจะพูดดีได้ตลอด บ้าไปแล้ววินดี้ เฮ้ย วินดี้ หัวเราะอยู่ได้คนจะนอน
                นอนหลับ ถ้าหลับแล้วจะมาคุยเสียงใสกับข้าได้ไง ..... เออแล้วนายไปคุยอะไรกับนันโจเรื่องสมุดเล่มสีเงินนั้นก็ขอเขาไว้ ว่าจะเอาไปบันทึกเรื่องทีเกิดขึ้นตั้งแต่มาที่นี่กลัวลืม ตายก็สูญ ไม่ตายก็ได้มีอะไรเตือนใจบ้าง เดี๋ยวจะเริ่มเขียนตอนฝึกเสร็จ ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเขียน
                ก็เขียนว่า วินดี้ภูตผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีความกล้า ว่าที่เทพแห่งชัยชนะในอนาคต... ....
                พอ    ๆ เหลวไหล่ จะนอนแล้ว และนั้นก็เป็นประโยคสุดท้ายในกลางดึกคืนนั้น แม้จะมีเสียงวินดี้บ่นอุบอิบในลำคอ มาอีกไม่กี่ประโยคก็ตาม
                .........................................................................................................................................................


บันทึกฉบับที่ 1 ออนเนอร์  คีย์เซอร์

                มันเป็นเรื่องประหลาดมากที่ผมจะได้เข้ามาอยู่ในโลกแห่งนิยายได้ แต่ก็ไม่เชิงนิยายนัก เพราะรู้สึกเจ็บจริงๆเวลาได้แผล รู้สึกเหนื่อยเวลาออกแรง รู้สึกหิว รู้สึกอิ่ม ผมจึงไม่ใช้คำว่าโลกแห่งความฝันเพราะ ฝันจะไม่เจ็บนอกจากฝันร้ายแล้วตกจากเตียง  เออมันเป็นบันทึกเล่มแรกของผมแต่ผมก็ไม่มีอะไรจะเขียนมากไปกว่า สิ่งที่ผมได้ทำในขณะที่ผมได้มาอยู่กับ พราณใจดีนันโจ และสุนัขคู่ใจ ทิวดัส  อืมเกือบลืม วินดี้ เจ้าตัวน้อยแต่เขาไม่ชอบให้เรียกเช่นนั้นต้องเรียกว่า วินดี้ ภูตผู้กล้า ว่าที่เทพแห่งชัยชนะ อะไรประมาณนั้น เขาเป็นเพื่อนคนแรกในโลกแห่งนี้ โลกแห่งนิยาย โลกแห่งความอิสระ............. นรกชัดๆ  
                จะพูดถึงเรื่อง องค์รักษ์พิทักษ์ประมวล ซึ่งจะมีเด็กหนุ่มสาว 4คนมาครองประมวลเพื่อการแห่งสงครามอันใกล้จะมาถึง ผู้พิทักษ์ต้องใช้ประมวล โดยร่ายคาถาในประมวลขณะเดียวกันก็ต้องสูญเสียอีลีเม้น เพาว์เวอร์หรือพลังแห่งชีวิตนั้นเอง คาถามีหลากหลายแยกได้ เช่นคาถาป้องกัน รุก นำพา คาถารักษา ทำลายล้าง และอื่นๆอีกมายมากนักแล แต่ก็อย่าพึ่งกล่าวถึงดีกว่า ปกติแต่ละคนจะมี อีเพาว์พอพอกัน แต่ถ้าจะใช้คาถาเวชในประมวลแล้วต้องมีอีเพาว์มากกว่านี้ ต้องฝึกฝน เตรียมพร้อมต่างๆ อันนี้แหละที่ยากดีนัก แล้วก็เป็นผมที่ต้องฝึก...เฮ่อ จะกล่าวดังนี้
                อาทิตรย์แรก นันโจบอกว่าต้องไปตักน้ำจากป่าด้านหลังมาเติมบ่อน้ำจนเต็มภายในวันดียว วันแรกโอ้โหฟังง่ายๆนะ ผมรีบวิ่งไปตักน้ำทันทีระยะทางประมาณครึ่งกิโลเมตรไปกลับก็กิโลเดียวใช้ถังน้ำสองใบไปตักโอ้แม่ เจ้า รอบแรกไม่มีวี่แววว่าจะเพิ่มเลยบ่อมันลึกมาก ทำไงละทีนี้ยังมีแรงอยู่ไปกลับอีก10รอบ ยังไม่ถึงครึ่งเลยครับ
                เวลาก็รวดเร็วจริงๆ รอบละเกือบครึ่งชั่วโมงหลังๆรอบละเกือบชั่วโมง แม่เจ้าครับกรรมกรแท้ๆ ผมเลยไปหยิบมีดสั้นในบ้านกับเชือก วิ้นดีก็คอยให้ความช่วยเหลือด้านจิตใจเป็นอย่างดีจนไม่อยากจะหยุด ไม่รู้จะบ่นอะไรนักหนา ต้องหาบน้ำหนี  พอเกือบเย็นผมก็ไปหาตัดไม้ที่เป็นกระบอก ก็ไอ้ต้นไผ่เราดีๆนี้เองแหละครับ เอามา ทำเป็นรางต่อมาจากแหล่งน้ำในป่าหลังบ้านพักเกือบเที่ยงงคืนกว่าจะเสร็จ นันโจบอกว่า โกงนี่ ก็ให้ไปตักน้ำจริงไม่ได้ให้น้ำมันไหลมาเององสักหน่อย มันอยู่ในระนาบเดียวกันรางผมก็ทำสูงเฉียงลงมาในบ่อ กว่าจะเต็มก็เกือบเที่ยงคืนผมก็เลยหลับเป็นตายเลย วันต่อมาให้ทั้งวันต่อมาก็กระโดด คลาน หมอบอยู่รอบบ้านไปจนถึงป่านั้น ทำอยู่อาทิตย์เต็มๆต่อมาเริ่มจับอาวุธเริ่มจากมีด ธนู ดาบ กระบองฝึกอยู่สองอาทิตย์เป็นแต่ดาบกับมีด ธนูเกือบดี แต่กระบองนี่แย่หน่อย ต่อมาอาทิตย์สุดท้ายฝึกเอาชีวิตรอด นันโจไล่ผมกับวินดี้ไปอยู่ในป่า หาสมุนไพรกับอาหารเอง เจอแต่หมาป่าวิ่งก็แถบแย่หมูป่าก็อันตราย ต้นไม้คือที่พึ่งที่นอนคืนแรก ได้กินแต่น้ำวันหลังนี่ดีหน่อยได้ไก่มา ตัว แล้วดันจุดไฟไม่ติดเลยแย่ จุดไฟไปกว่าครึ่งวัน จุดได้แล้วกลัวไฟดับ  กลัวจะจุดอีกไม่ได้  ผมก็สุ่มไฟไปเรื่อยๆ แล้วเผรอหลับไปกับวินดี้ กว่าจะรู้ตัว ไฟก็รามไหม้ป่าไปแล้ว นันโจเลยต้องมาช่วยกันดับยกใหญ่แล้วก็เทศนาผมกับวินดี้ไปชุดใหญ่ อยู่กันไปแบบทุลักทุเลก็ผ่านพ้นกันมาได้ คืนที่ผมเขียนนี้เป็นคืนสุดท้าย รุ่งขึ้นตอนสายๆผมก็ต้องออกเดินทางไปจากที่บ้านหลังแรกในโลกใหม่ของผมไปแล้ว ใจจริงผมอยากอยู่ต่อ แต่ก็จะต้องรีบเดินทางกันต่อเพราะวินดี้กลัวว่าจะเดินทางไปเซนเตอร์โซน อาพอลโลนัส เพื่อประชุมประมวลไม่ทันอีกสามเดือน     ต้องขอบใจนันโจมากๆที่คอยดูแลผมมาตลอด เป็นเหมือนพ่อดูแลบุตร ซึ่งผมยังไม่เคยได้รับในชีวิตนี้เลย  เอาล่ะ เอาไงเอากัน
                                                                                                                                               
                                                                                                                หวังว่าคงจะได้เขียนอีกไม่อยากตายก่อน..    
                                                                                                                                ออนเนอร์  คีย์เซอร์


                                                …………………………………………


                รุ่งเช้าของวันที่ต้องออกเดินทางจากบ้านของนันโจ ออนเนอร์รีบจัดเก็บสำภาระจำเป็นที่นันโจหามาให้เพื่อก็ได้แก่ เนื้อตากแห้ง กระบอกน้ำ หนังสัตว์ เครื่องจุดไฟ  มีดสั้น เชือก 1 ขด  กับสมุนไพรหนึ่งห่อ  และธนูขนาดกระทัดรัดอีก1คัน ศรอีก7ดอก หัวศรโลหะอีกสามดอก ออนเนอร์ใส่ของที่เล็กๆน้อยลงไปในกระเป๋าสีขาวใบเดิมเหน็บ มีดสันไว้ข้างเอวด้านซ้าย และสะพายคันธนูและกระบอกศรพร้อมออกเดินทาง เขาอยู่ในชุดเดิมเหมือนตอนแรกที่มายืนเหยียบโลกใหม่แห่งนี้ต่างก็เพียงมีรอยเย็บซ่อมแซมส่วนที่ขาดบ้าง เข้ายังคลุมชุดคลุมสีน้ำตาลตัวเดิม กางเกงเดิมรองเท้าเดินป่าคู่เดิม แค่มีสัมภาระมากกว่าเดิมหน่อย
                วินดี้ก็เร่งให้ออนเนอร์ออกเดินทางเร็วๆ ออนเนอร์ก็พร้อมเสร็จสับ มองดูสิ่งของที่อาจหลงลืมไว้ในสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่คือบ้าน คือโรงเรียน คือที่ท่องเที่ยว คือที่ที่เด็กหนุ่มต้องจดจำไปอีกไม่รู้ลืม แต่อย่างไรก็ตามแม้เราประทับใจสิ่งหนึ่งใช้ว่าจะมีเพียงแค่ปัจจุบัน อนาคตก็มีอีกหลายๆสิ่งที่รอเราอยู่ สิ่งนี้อาจเป็นเพียงสิ่งหนึ่งในบรรดาสิ่งที่ดีหลายๆอย่างในชีวิตของเขา หัวใจเด็กหนุ่มอาทรลึกๆเช่นนั้น แต่ยังแฝงซึ่งการก้าวหน้าทางความคิดเพื่อจะเผชิญเรื่องราวใหม่ๆต่อไป ผู้พิทักษ์แห่งลมก็ก้าวเดินออกไปจากประตูพร้อมกับวินดี้ ภูตคู่กาย คู่กัด เพียงแค่ก้าวพ้นแนวตัวบ้านเท่านั้น เขาก็รู้สึกว่ามีเสียงวัตถุแหวกอากาศมาจากด้านหลังเยื้องมาจากด้านซ้าย มันคือดอกศรปริศนา เหตุใดมิทราบได้ โดยฉับพันออนเนอร์ใช้มือซ้ายปัด วินดี้ให้กระเด็นออกจากพื้นที่อันตราย แล้วเบี่ยงตัวไปทางด้านข้างใต้ชุดคลุมโดยใช้กระเป๋าสพายเป็นโล่ป้องกันตัว ดอกศรทะลุชุดคลุมเข้ามาทะลวงเอากระเป๋าใบนั้นของออนเนอร์และคาติดอยู่ ปลายโลหะที่เป็นหัวลูกศรห่างจากตัวเขาไม่ถึงคืบ
                ออนเนอร์  ระวัง  !! อะไรก็ไม่รู้วิ่งออกมาจากหลังบ้านเสียงของวินดี้ร้องเตือนอย่างตกใจ

                โดยไม่มีการกล่าวอันใดอีกออนเนอร์เปิดชายผ้าคลุ่มนั้นออกแล้วจ้องไปยังสิ่งที่กำลังปราดเข้ามาหาตน เสียววินาทีนั้น มันคล้ายกับสัตว์สี่เท้า เป็นสัตว์กินเนื้อแต่มันมีใบไม้ติดอยู่ตามตัวของมันคล้ายสิงโตแต่ขนแผงคอนั้นคือใบมาย ส่วนขนตามตัวมีสีดำ ทันใดนั้นก่อนที่เจ้าสิ่งนั้นจะกระโจนตัวมาทำร้ายถึงตัวเขา เด็กหนุ่มก็เหวี่ยงกระบอกศรที่สะพายพุ่งสวนทางเจ้าสิ่งนั้นพร้อมกับทิ้งตัวลงกับพื้นในท่านอนหงายในขณะที่เจ้าสิ่งนั้นปะทะกับกระบอกศรมันก็ชะงักในตอนที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือออนเนอร์นั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้ใช้เท้าข้างหนึ่งเหวี่ยงแตะเข้าไปเต็มแรงมันกระเด็นลังไปกระแทกกับพื้นแล้วมีอาการมึนงงเล็กน้อยก่อนที่จะเหลียวหลังกับวิ่งหนีไป ออนเนอร์พยุงกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จ้องมองเจ้าสิ่งนั้นอย่างสงสัยแล้วหันไปทางวินดี้เห็นบุคคลภายใต้ผ้าคลุมสีดำ กำลังกำตัววินดี้ไว้ โดยไม่รีรอการบอกให้ ยอมจำนน เหมือนกับหนังที่มีการจับตัวประกัน ออนเนอร์ใช้มือข้างขวาชักมีดสั้นที่เหน็บที่บอกข้างเอวด้านซ้ายแล้วปาออกไปอย่างรวดเร็วจนบุคคลนั้นต้องผละหลบแล้วคล้ายมือจากวินดี้ เมื่อวินดี้หลุดออกมาได้ออนเนอร์ก็ปราดเข้าไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการนัดแนะใดๆทั้งสิ้น วินดี้ก็แปลงร่างกลายเป็นดาบโลหะสีเขียวอ่อนครามน้ำ ะเลเล่มเดิม จังหวะเดียวกันนั้นออนเนอร์ก็คว้าดาบวินดี้ที่ลอยอยู่เหวี่ยงตัวฟันในแนวขว้างไปที่บุคคลชุดดำที่กำลังจะลุกขึ้นจากการหลบมีดเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา แต่การลงดาบนั้นก็มิได้ผ่านชายผ้าคลุมสีดำนั้นเลยด้วยซ้ำแต่เหมือนกับไปกระทบกับโลหะแข็งบางอย่างภายใต้ผ้า คลุมดำนั้น และแล้วทั้งสองก็ผละออกจากกัน ตั้งหลัก จากนั้นออนเนอร์สังเกตเห็นขวานสีเงินออกมาจากชายผ้าคลุม ออนเนอร์ยิ้มและควงดาบปราดเข้าใส่ทันที การฟาดฟันกันเป็นไปอย่างดุเดือด ออนเนอร์ได้เปรียบที่ใช้ดาบ เลยดูคล้องแค้วกว่าคนชุดดำ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ได้เปรียบนัก  เนื่องจากร่างกาย  ออนเนอร์  ก็เป็นแค่เด็กเมื่อเทียบกัน  ออนเนอร์ใช้การต่อสู้ให้เป็นประโยชน์ เริ่มเข้ามาใกล้บริเวณที่มีดที่ปาตกอยู่ แต่€เหมือนรู้ทัน บุคคลลึกลับปราดเข้ามาปะทะไว้  ออนเนอร์สุดจะทนจึงใช้เสื้อคลุมเข้าพันดาบและขวานอย่างรวดเร็ว แล้ววินดี้ก็กลายร่างกลับมุดออก มาหาออนเนอร์
                 เป็นดาบวินดี้ วินดี้ เลิกลักแต่ก็รีบทำตาม หลังจากที่กลายเป็นดาบออนเนอร์ก็ใช้ด้านแบนของดาบฟาดไปบริเวณก้นของบุคคลลึกลับเสียงดังปาบ  แล้วรีบถอย ผละมาในระยะห่าง รีบนำประมวลออกมาจากกระเป๋าที่ดึงดอกศรออกไปแล้ว พระเจ้าประมวลถูกดอกศรทะลุ
                เอ้ย ตายละวินดี้แปลงกลายกับมา
                อ่านก่อนออนเนอร์ ร่ายเวชคาถาก่อน ยังไงก็ชั่ง  วินดี้ร้องบอกด้วยความเร่งรีบ
                เหรอ เออ ยังใช้ได้ก็ดีแล้ว ไม่เห็นต้อง... แต่เมื่อดักกันอย่างนี้ ก็ได้ครับ
                ไซโครวรัส หลังจากที่กล่าวร่ายจบ.... บริเวณใกล้ๆบุคคลชุดดำนั้นก็เหมือนมีลมหมุนมาจากทุกทิศทางแล้วก็เกิดการแตกกระจายกันอย่างรวดเร็วเป็นระเบิดย่อมแรงอัดจากการนั้นทำให้ ฝุ่นครุ้งทั่วบริเวณ ออนเนอร์มองลึกไปในม่านควันมีแสงสีน้ำเงินส่องออกมา
                วินด์ โบว์ล็อกสายลมก่อตัวอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง ให้เห็นเป็นโล่ป้องกันขนาดใหญ่ วินาทีเดียวกันนั้นเอง ม่านฝุ่นไม่ทันจางลำแสงสีน้ำเงินก็แพร่พุ่งเข้าหาออนเนอร์ใส่โล่ลมนั้นฉับพลัน จนเกิดการระเบิดของเวชครั้งที่สอง
                ตูม วินดี้รู้สึก อึ้ง กับทุกสิ่งทุกอย่าง  ทั้งอันตรายที่มาอย่างไม่รู้ตัวและที่ยิ่งกว่านั้น การต่อสู้ของออนเนอร์ ทำให้วินดี้ถึงกับตาค้าง แอะ แสงสีน้ำเงิน คุ้นๆ
                เล่นแรงจริงๆเลยนะครับ มาส่งกันแบบนี้ไม่ดีเลย  วินดี้ได้ยินเสียง ออนเนอร์พูดออกมาปกติ ในขณะที่ตนกำลังนึกถึงแสงสีน้ำเงิน และประโยคต่อมาจากบุคคลลึกลับนั้นก็ทำให้วินดี้ ถึงกับต้องครางออกมา
                เฮ่อ....................จับได้ซะแล้ว แต่ก็พัฒนาดีจริงๆนะเธอนะ  ออนเนอร์ วินดี้รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใคร
                เอ้ย......นันโจทำไมเล่นงี้อ่ะ ตกใจหมดเลย เอ้าแล้วไอ้ตัวสีเขียวดำ...
                ใช่แล้ว ทิวดัสเอง อุตส่าปลอมตัว
                ก็คุณนันโจใช้อาวุธเป็นขวานที่ผมผ่าฟืนอยู่เกือบทุกวันนี่ครับ ทำไมจะจำไม่ได้ละ
                ฮ่า ฮ่า ไม่น่าเลยเรา ถูกจับได้ง่ายๆอย่างนี้ ว่าแต่ ฝีมือพัฒนามากแล้วนะ ต่อแต่นี้ก็คงจะได้ไปช่วย ฟรีเวิลด์ได้แล้วสบายมาก ทิวดัสก็วิ่งเหยาะๆ มาหาออนเนอร์ด้วย
                ไม่หรอกครับคุณนันโจ คุณตั้งใจเลี่ยงจุดสำคัญไปนี่ครับ และตอนต่อสู้กันคุณก็ยังไม่ได้เอาจริงด้วย อีกอย่างพลังแสงที่เกิดจากลูกแก้วเวชนั้น ก็ถ้าใช้ตอนต่อสู้ ผมก็คงแย่ ออนเนอร์ตรวจสำภาระที่ตกหล่น แล้วก็หยิบกระเป๋าขึ้นมา ดูรู้ที่ทะลุจากการที่นันโจ ยิงธนูมาที่เขา
                เออ...ออนเนอร์ไม่ต้องไปเสียดายหรอกกระเป๋านะ ฉันมีใบใหม่มาให้ นี่ไงเป็นกระเป๋าที่พรางตัวเองได้ พูดง่ายคือ กระเป๋าล่องหนได้นั้นเอง เหรอครับ คือเธอจะเห็นมันแต่คนอื่นไม่เห็นนั้นเอง ในฐานะที่ฉันเคยเป็นทหาร ฉันก็อยากจะช่วยดินแดนแห่งนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งและ ออนเนอร์ยังไงก็แล้วแต่ห้ามบอกใครว่าเธอคือ องครักษ์พิทักษ์ประมวลแห่งลม เดี๋ยวอะไรที่แฝงตัวมาจะคอยเล่นงานหรือติดตามเธอ
                ข้าเห็นด้วยนะออนเนอร์ ไม่งั้นเราจะมีอันตราย
                อืม..วินดี้ ขอบคุณมากครับสำหรับคำเตือนและเจ้ากระเป๋าวิเศษใบนี้
                เดี๋ยว...นี่....ฉันอยากให้เป็นของที่ระลึกกับเธอลูกแก้วแห่งน้ำ มันเก็บน้ำไว้มากพอสมควร การเดินทางข้างหน้าอาจขาดน้ำ เพียงแค่กำลูกแก้วแล้วตั้งสมาธิน้ำสะอาดไหลออกมา   แต่อย่าปาลงพื้นน้ำจะ. ประทุจากบริเวณที่ลูกแก้วนี้กระทบเก็บให้ดีนะ ออนเนอร์นันโจยื่นลูกแก้วสีฟ้าให้ออนเนอร์ มันมีขนาดเท่าไข่ไก่ใบกลางๆแต่ทรงกลม
                ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เธอมุ่งตรงไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ กลางคืนหาที่พักให้สูงเข้าไว้เดินทางกลางวันนะ จำไว้ว่าเดินได้แต่ตอนเช้า ทางซ้ายพระอาทิตย์ตอนเย็นทางขวาพระอาทิตย์ หรือถามวินดี้ ฉันเชื่อว่าเขาต้องเป็นคู่หูที่ดีมากเลยล่ะ
                ใครจะไปเป็นคู่หูกะ เจ้านั้นกันเล่า  ข้านะต้องเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลต่างหาก พูดแล้วกลุ้ม
                วินดี้ เธอก็รู้นะว่า เขามีแววแค่ไหน ฮึ ฮึ นันโจเข้าไปกระซิบกับวินดี้
                งั้น วินดี้ไปกันเถอะ ออนเนอร์เรียกวินดี้ หลังจากที่ตัวเองเก็บข้าของทุกอย่างเรียบร้อยพอออนเนอร์สะพายกระเป๋า รูปทรงมันก็จางลงมองไม่เห็นอะไร จนกลายเป็นว่านอกจากอาวุธ มีดและคันธนูกับกระบอกศร ออนเนอร์เหมือนไม่มีสัมภาระอันใดทั้งสิน
                โชคดี นะ ผู้กล้าทั้งสอง นันโจพูดพร้อมกับตบเบาๆที่บ่าของเด็กหนุ่ม
                ขอบคุณครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ คุณนันโจ... ทิวดัสด้วยนะเด็กหนุ่มโพ้เขากอดนันโจอย่างถือสนิทดังเช่นญาติผู้ใหญ่ แล้วร่ำลาประโยคนี่ ประโยคสุดท้าย
                ผู้กล้าทั้งสองก็เริ่ม ...ผู้กล้าหนึ่งคนกับภูตแห่งลมอีกตนก็เริ่มการเดินทางในช่วงสายของวันนั้น เหลืออีกสามเดือนที่การประชุมประมวลจะมาถึง การเดินทางครั้งนี้จะจบลงที่ใด หามีสิ่งใดทำนายได้ไม่ ไม่เว้นแต่ ไก่พยากรของ  เชาว์ ยูเครส ผู้กำลังจะประกาศสงคราม ฟรีเวิลด์ครั้งที่สอง



                การเดินทางเมื่อเริ่มต้นจากบ้านนายพรานนันโจไม่ถึงสามชั่วโมงที่สามก็ถึงยังบริเวรที่ใกล้กับหน้าผาเตี้ยและพบจุดเกิดเหตุที่ เกิดการต่อสู้ครั้งแรกกับยักษ์ ระหว่างการเดินทางเรื่อยมาจนถึงนั้นออนเนอร์และวินดี้ แทบจะไม่สนทนากันแม้แต่คำเดียวเลย คล้ายกับจะสังเกตสิ่งต่างรอบตัว เพื่อให้ถึงผาเตี้ยชายป่าออสเนส
                โอ้ย...โล่งแล้วถึงตรงนี้ได้ เนอะ วิ้นดี้  ฉันว่าฉันไม่เคยเดินทางมา...ทางนี้เลยไม่คุ้นตา
                เจ้าจะรู้ได้ไง ก็ขาไปเจ้าสลบงะ นันโจแบกเจ้าไปนี่นา
                งั้นเราหาที่พักกันสักพักก็ดีนะ หน่อยแล้วจะได้ลองใช้ลูกแก้ววารีของนันโจด้วย
                แต่ข้ายังไม่เหนื่อยเลยนะ
                นายจะเหนื่อยได้ไงละเกาะหลังฉันมานะ เฟ้ย
                เด็กหนุ่มหาร่มเงาไม้เพื่อนั่งพัก ก็ไปเจอเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สูงมากประมาณตึกสามชั้นได้ แผร่กิ่งก้านออกเป็นวงกว้าง น่าจะเป็นไม้ผล มีผลสุกสีเหลืองเต็มไปทั้งต้น
                ต้นอะไรอะวินดี้ สูงใหญ่จัง
                ก็ต้น ส้มของฟรีเวิลด์ มันจะใหญ่กว่าที่โลกของเจ้าเยอะ กินได้ทั้งหมู่บ้าน
                งั้นเราขึ้นไปเก็บผลส้ม ไว้เป็นเสบียงกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเก็บนายรอรับ  นะ วินดี้
                อืม อะ ไม่ดี ข้าขึ้นไปเองดีกว่า  เจ้ารอรับ ให้ข้ารับแล้วข้าจะรับยังไงอะ
                เออจริงสินะ งั้นก็ไปเก็บเหอะ ฉันจะคอยรับเองออนเนอร์ก็เริ่มวางสัมภาระ แล้วถอดชุดคลุมออกมาคลีเพื่อทำเป็นถุง คอยรับผลส้มที่วินดี้จะสอยลงมา วินดี้ก็ว่องไวเช่นกัน บินขึ้นไปบนกางต้นส้มเลิกลูกที่สุขพอทานได้กับลูกที่ ยังไม่สุกเพื่อไว้เป็นเสบียงจะได้สุกตอนทานพอดีอีกยังเก็บรักษาได้นาน ลูกแล้วลูกเล่า เก็บได้เป็นกองๆแล้ว ออนเนอร์จึงตะโกนขึ้นไปบอกวินดี้
                พอแล้วไม่เอาแล้ววินดี้  เอาไปไม่ไหวหรอก
                ออนเนอร์ ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง วินดี้ตะโกนลงมาจากเบื้องบน
                อะไรล่ะ นิทานอะไรอีก โม้เปล่า ไม่เอางะ รีบลงมาเร็วๆเข้า
                หน่อยแนะ ไอ้เด็กน้อย... ไหนเจ้าลองรับข้าสิ ถ้าพลาดวันนี้ห้ามกินส้ม
                ท้าเหรอ วินดี้ มาลงมาเลยรับได้อยู่แล้วจะไม่ให้ตกถึงหญ้าเลย
                ฮา ฮา ถ้าข้าตกถึงหญ้าเจ้าแพ้นะ ออนเนอร์ เอาล่ะ
                ทันใดนั้นในขณะที่ออนเนอร์ตั้งท่ารับ วินดี้ก็แปลงกายเป็นดาบพุ่งลงมาในแนวดิ่ง ออนเนอร์ตะลึงงั้นในเสียววินาที ไม่คิดว่าวินดี้จะ กลายเป็นดาบพุ่งดิ่งลงมา ใครจะไปรับได้ เขาก็แค่เด็กหนุ่มฝึกหัด รับเข้ามีหวังมือขาด เขาฉุกใจคิดได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งในสี่ของวินาที เขามองเห็นแผ่นหินขนาดเท่าถาดผลไม้ใหญ่สักถาด แล้วเขาก็ใช้เท้าถีบแผ่นหินแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว วินดี้ที่เป็นดาบแล้วนั้นก็พุ่งลงมาปักหินดังเฉ่งแล้วก็กลายร่างกลับตามเดิม
                โอ้ย.....ออนเนอร์ เจ๋บนะเฟ้ย ....เล่นอะไรงี้ว่ะ วินดี้นอนดิ้น เด๋วๆ อยู่กับพื้นร้องโอดโอย
                เอ้า....ก็ นายโกงงะ เป็นดาบพุ่งลงมาทำไมอ่ะใครจะรับได้ละ เป็นไง ฮ่า ฮ่า อา........
                ไม่นานนักขณะที่ ออนเนอร์กำลังหัวเราะเยาะวินดี้นั้น ก็มีผลส้มหล่นลงมาสามผล หล่นใส่พื้นสองผลหล่นใส่หัวออนเนอร์อีกหนึ่งผล
                โอ้ย....อะไรกันเนี่ย มาหล่นใส่หัวฉันยังไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงลั้นของกิ่งไม้ใหญ่จากส่วนกลางลำต้นของต้นส้มยักษ์ต้นนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปแล้วถามวินดี้ว่า
                นี่นายคงไม่ได้ไปฟันเอากิ่งใดกิ่งหนึ่งใช้ปะ วินดี้ ออนเนอร์หันกลับลงมามองวินดี้ก็เห็นวินดี้หน้าซีดเผือด จากสีเขียวอ่อนแทบจะเป็นสีขาว
                เออ ใช่เมื่อกี่ตอนดิ่งลงมาข้าไปฟันเอากิ่งหนึ่งเข้า   แต่....มันไม่สำคัญแล้ว รีบไปกันเถอะออนเนอร์ยังสงสัย จนวินดี้ บอกว่า               
                เรื่องเมื่อกี้นี้ ที่ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังมันเกี่ยวกับเรื่องผลส้มตกเนี่ยแหละ เรื่องมีอยู่ว่า ส้มชนิดนี้เป็นส้มวิเศษ ด้านกลิ่นหอม และกลิ่นนี้จะกระจายไปได้ไกลมาก จนถึงจมูกของพวกแมลง เออวบั๊ก แมลงดินแห่งฟรีเวิลตะวันตก
                แล้วไงอ่ะ มันก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้วมันกะต้องมากินส้มใช่ปะ
                ก็ใช่ ฟังให้จบก่อนดิ   เออวบั๊กมันไม่มีจมูกก็จริงแต่มันก็มีสัมผัสกับความสั่นสะเทือนมาก มันไม่สามา รถปีนต้นส้มได้ มันจะมากินกันตอนส้มล่วงหล่นลงมาเยอะตอนสุขงอมเท่านั้น
                อ้าวแล้วมันจะมาได้ไงล่ะ...อ๋อ เมื่อผลส้มตกมาเยอะๆ แต่เมื่อกี้มันตกมาแค่สามลูกเองงะ ฮืม...แล้ว เออวบั๊กนี่มันน่ากลัวตรงไหนอะ
                ก็ตรงที่ว่า มันชอบส้มชนิดนี้มากจนดุร้าย หวงแหนจนต้องต่อสู้กันเองนะสิ ฟังให้จบนะ จะได้หายสงสัย มันตัวเท่าทิวดัส แล้วก็คล้ายด้วงสามเขาแต่ดุร้ายกว่าเสืออีก ฟันของมันสามารถกัดกิ่งไม้ขนาดท่อนแขนเจ้าให้ขาดสบั้นได้ด้วยไม่ต้องออกแรงมากเลย แต่มันไม่ขึ้นต้นไม้ มันจะมุดดินแทนเวลามามันมาเป็นร้อย บ้างก็เกือบพันตัว โชคดีนะที่ส้มไม่ได้ล่วงลงมามากกว่านี้
                ออนเนอร์ กลืนน้ำลายลงคอดังเอือก นึกถึงทิวดัสแล้วเริ่มสยอง  มันก็หมาป่าดีๆนี่เองแต่เป็นรูปลักษณ์ของแมลง เด็กหนุ่มรีบคว้าสัมภาระทันที  เขารีบลุกขึ้น ในทันใด กิ่งส้มขนาดใหญ่ก็มีเสียงแตกหักดังอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นการหักสบั้นเนื่องจากทานน้ำหนักไม่ไหว กิ่งใหญ่ทั้งกิ่งตกลงมาบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว วินาทีนั้นออนนเนอร์และวินดี้ก็อยู่ในลักษณะตัวใครตัวมันต่างผละตัวออกจากตำแหน่งใต้กิ่งส้มนั้นเพื่อไม่ให้ถูกทับแบนเป็นแพนเค้ก วุดวิดไปแค่ไม่ถึงเมตร ทั้งคู่รอดพ้นจากอันตรายมาได้แต่ สิ่งที่พวกเขาไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นผลส้มสุขจำนวนมากกำลังล่วงหลนลองมาอย่างไม่รู้จักหมดทั้งสองต้องคอยหลบผลส้มที่ล่วงมาใส่และรีบหนีออกจากบริเวณนั้น ทันที่ที่ส้มผลสุดท้ายตกกระทบถึงพื้นดิน  ออนเนอร์ก็รู้ว่าแผ่นดินที่ตนยื่นอยู่สั่นสะเทือนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
                มันมาแล้วออนเนอร์วินดี้ตะโกนด้วยเสียงที่แสดงถึงความสะพรึงกลัวจนขีดสุด ยังไม่สิ้นเสียงของวินดี้ก็มีอะไรมิทราบกำลังมุดขึ้นมาจากใต้พื้นดิน หลายจุดด้วยกันยังกับว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นรังผึ้งขนาดยักษ์  บริเวณใต้ต้นส้มฟรีเวิลด์นั้นเอง จากพื้นดินที่กำลังนูนขึ้นนูนขึ้น และแล้วเจ้า แมลงสีม่วงเข้มตัวแรกก็มุดออกมากลางปีกยู่ต่อหน้าต่อตาออนเนอร์ระยะไม่เกินห้าเมตร ทำเอาออนเนอร์ยืนตะลึงงั้น รูปลักษ์ที่เห็นก็เพียงด้วงกว้างธรรมดา แต่ตัวใหญ่เท่าเท่าหมาป่าตัวโตเต็มวัยเลยทีเดียว และตัวแล้วตัวเล่าก็พากันมุดออกมาเป็นกองทัพใหญ่จากสิบเป็นร้อยจากร้อยก็เพิ่มขึ้นอีก มันเริ่มมองไปรอบๆตัวเองเห็นผลส้มเกลือนกราดอยู่ตามพื้น เจ้าตัวโตที่สุดมีขนาดพอๆกับลูกวัวตัวเขื่องๆมันกระโจนใส่กองส้มกองหนึ่งแล้วสว่าปามอย่างเอร็ดอร่อย ปากของแมลงอันใช้กินพืชนั้นมันไม่น่ากล้วถ้าตัวมันไม่ใหญ่กว่าผลส้มที่มันกำลังกินอยู่ แต่นี่มันตัวใหญ่มาก ปากมันก็ใหญ่ตามไปด้วย ไม่ถึงนาทีที่เห็นผลส้มมากมายแล้วในพริบตาจำนวนส้มก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ออนเนอร์รู้สึกได้ว่าวินดี้กำลังตัวสั่นเกาะอยู่บนไหล่ซ้ายของเขาเขารีบหันหลังกลับ ชักมีดสั้นออกมากำไว้ให้ถนัด แล้วก็เริ่มก้าวเดินเหลี่ยงออกไปอย่างระมัดระวัง  โอ้วพระเจ้าขณะที่เขาตกอยู่ท่ามกลางฝูงแมลงหิวกระหายนั้นก็มีฟูงหมาในอีกกว่าร้อยตัวกำลังตีโอปล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง  ทำไม ในใจเขาเกิดสงสัย
ในขณะที่ยืนงันอยู่นั้นเอง
                ก็มัน มาเพื่อกินเจ้าเออวบั๊กนะสิ ออนเนอร์ เดี๋ยวก็มากันอีกทั้งหมาในเถอะ
                ออนเนอร์มองออกไปรอบๆ ก็เห็นจะจริงของวินดี้ มีฝูงหมาป่าค่อยๆปรากฏกายออกจากพุ่มไม้ แต่ก็ไม่มากเท่าหมาใน กลับมาที่ฝูงแมลงดินเมื่อผลส้มจำนวนน้อยลงก็เกิดการแก่งแย่งกัน ตัวใหญ่กว่าใช้เขาพุ่งเสียบอีกตัว เจ้าตัวเล็กกว่าก็ไม่ด้อยเลยใช้ปากกัดขาหน้าข้างหนึ่งของเจ้าตัวใหญ่ขาดในทันที ในตอนนั้นเองที่ออนเนอร์สังเกตได้เลยว่ามันจะเป็นการตะลุมบอลหมู่ของแมลงยักษ์ และตำแหน่งที่เขายืนนิ่งอยู่ก็อยู่ในหมู่ทัพแมลงดิน แต่ไม่ลึกไปในใจกลางฝูงนัก ถ้าออกไปก็เจอกับหมาใน และอาจตอนหมาป่าเข้ามาทำร้ายอีกก็ได้  วินดี้ดาบ เสียงแรกที่ออนเนอร์บอกกับวินดี้แมลงรอบตัวออนเนอร์เริ่มแสดงอาการดุร้าย พุ่มเข้าชนกันแต่ไม่ดุเดือดและรุ่นแรงอย่างเช่นกลางฝูง มือซ้ายถือมีดสั้นมือขวาถือดาบวินดี้ เมื่อมี เออวบั๊กพุ่มมาทำร้ายเด็กหนุ่มก็จะใช้ดาบปัดเขาแหลมนั้น แล้วเบี่ยงตัวไปด้านข้าง พร้อมกับใช้มีดทิ่มแทงเข้าไปบริเวณข้อต่อ เพราะเป็นส่วนที่อ่อนกว่าเปลือกที่หุ่มอยู่ เออวบั๊กเป็นแมลงปีกแข็ง เปลือกนอกของมันจึงข่อนข้างแข่ง ออนเนอร์ได้แต่ปัดป้องกายตนเองเท่านั้น เขาพยายามวิ่งไปในที่ปลอดภัยที่สุด ที่นั่นก็คือกองซากของแมลงผู้แพ้ และบาดเจ็บบ้างก็ขาขาดบ้างก็ สิ้นชีวิตนอนกองอยู่ รวมๆกัน ออนเนอร์วิ่งเข้าไปหลบที่ซากของเจ้าตัวใหญ่ 
                เอ้ย...!!! ”เด็กหนุ่มอุทานออกมาด้วยความตกใจ แมลงตัวที่เขาคิดว่าตายแล้วนั้นเพียงขาทั้งหกขาดและเคลื่อนตัวไม่ได้เท่านั้นหากแต่ยังใช้ปากอันแหลมคมได้ และมันนั้นเองได้กัดกะฉากชายผ้าคลุ่มของออนเนอร์ขาดแว่งทันที    ออนเนอร์ตกใจ ออนเนอร์ใช้ดาบแทงที่ส่วนคอ และคว้านทำให้เกิดแผลใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสิ้นใจง่ายๆ หมาในก็เริ่มกรูกันเข้ามา สบทบเริ่มกัดกินเจ้าตัวที่ตายแล้วหรือเจ้าตัวที่ไร้ทางสู่ จังหวะที่หมาในกรูเข้ามาออนเนอร์ก็หยิบประมาวลขึ้นมาปรากฏว่าประมวลที่เคยต้องศร เป็นรู ตอนนี้กลับใหม่เอี่ยมดังจับต้องครั้งแรก เหนือยิ่งกว่าสิ่งใด เขาก็รีบเปิดประมวลแล้ว ว่าคาถาป้องกันทันที เกิดโล่ลมกางกั้น ไม่ให้พวกหมาในมาทำร้ายเขาได้ แต่การตรึงโล่ไว้ให้นานนั้นก็มิได้ง่ายเลย ปกติจะใช้โล่แค่ไม่เกิน สี่ห้าวินาที แต่ขณะนี้เขาต้องใช้โล่ลมป้องกันตัวไปเรื่อยๆ นานขึ้นนานขึ้น เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าการใช้เวท มันยังกะออกแรงเป็นกรรมกรดีๆยังไงอย่างงั้น  หรือไม่ก็พอๆกัน  ออนเนอร์และวินดี้ตีฝ่าความชุลมุนนองเลือดนั้นออกมาอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่ออนเนอร์เร่งฝีเท้านั้นก็ทิ้งห่างวินดี้ เจ้าภูตตัวน้อยจึงเป็นเป้าหมายของบางสิ่งที่ซุ่มตัวอยู่ สิ่งนั้นก็คือเจ้าหมาในที่แตกฝูงหลบคอยจังหวะอยู่นั้นเอง มันกระโจนออกมาจากซากของเออวบั๊ค พุ่งใส่วินดี้ จนวินดี้ต้องกระเด็นไปอีกไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร และทันใดนั้นก็มีหมาป่าจำนวนหนึ่ง   วิ่งกรูกันไปทิศทางที่วินดี้กระเด็นไป ออนเนอร์เลือดในกายแทบจับเป็นก้อนแข็ง สติยังมีอยู่น้อยนิดเตือนให้เปิดประมวล และแล้วสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมึนงง ในชั่วไม่กี่อึดใจคือ มีอักษรเพิ่มขึ้นในประมวลแห่งลม ออนเนอร์อ่านทันทีโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด  จะห่วงก็แต่เพื่อนร่วมชะตากรรมตัวน้อยเท่านั้น หาได้มีอันใดเกิดขึ้นเลย.....หลังจากร่ายคาถาใหม่.....ทำไม!!
                 ออนเนอร์แทบจะทรุดตัว  แต่เขาก็ตัดสินใจวิ่งตามไปที่กลุ่มหมาป่าที่วิ่งตามวินดี้ไป แล้วกระโจนเข้าไปกลางวงหมาในกลุ่มนั้นจากด้านหลังในมือกำมีดสั้นที่คมกริบมืออีกข้างที่เคยจับประมวลยามนี้เปลี่ยนวัตถุเป็นคันธนู พร้อมกับออกแรงฟาดฟันอย่างไม่คิดชีวิต ทำให้หมากลุ่มนั้นแตกหือพร้อมกับมีบางตัวคงได้รับบาดแผลไปบ้าง แต่มันก็ยังไปไม่ไกลนัก มันหันกลับมาอย่างอาฆาต แล้วเริ่มวิ่งมาพร้อมกันทั้งกลุ่มสี่ห้าตัวนั้น อีกครั้ง อยู่อยู่ก็มีกระแสลมพัดมาจากทุกทิศ พาพัดมาอย่างรุนแรงก่อเกิดเป็นวงแหวนพายุล้อมรอบออนเนอร์และวิ้นดี้ พายุเวทนั้นก่อตัวขยายและเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวถูกดูดเขาหาออนเนอร์แล้วลอยตามแรงพายุเวทนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกลับตีวงวนไปดังอยู่ในพายุขนาดยักษ์ที่เกิดจากเวทสักอย่างที่  ออนเนอร์ ร่ายมนต์ จากคาถาใหม่เมื่อสักครู่ ตนเองนั้นดังโดนผลกระทบน้อยที่สุด เด็กหนุ่มนั่งทรุดกอดวินดี้ไว้แน่น  ก้มหน้าก้มตาสะอื้น อึกอัก 
                วินดี้ วินดี้  วินดี้ ฟื้นสิ ฟื้น ................. เขาตะโกนสุดเสียงแล้วมองออกไปรอบๆตัวของเขา ที่ที่เคยเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ได้กลายเป็น ลานกว้าง ยัง กับป่ารกที่ถูกถากถางอย่างถอนรากถอนโคน ต้นส้มยักษ์นั้นโค่นลงมานอนราบอยู่กลางลานนั้น  ซากของหมาป่าและแมลงยักษ์ กร่านเกริน อยู่กระจัดกระจาด บางหงายท้องบางกองรวมกันไม่เป็นถ้า มันเป็นผลมาจากอนุภาพของภายุมาหาเวทลูกนั้น
                จะร้อง ทำไม ผู้กล้าเขาไม่ร้องไห้กันหรอก เสียงเล็กๆ ที่แผ่วเบา ลอยมากระทบโสตรับเสียงของเขา ทันที
                วินดี้

...............................................................................................
 

          จะร้องทำไม ผู้กล้าเขาไม่ร้องไห้กันหรอก เสียงเล็กๆที่แผ่วเบา ลอยมากระทบโสตรับเสียงของเขา
                วินดี้.....เจ้าบ้าเอ้ย..... ออนเนอร์จับวินดี้พลิกซ้ายพลิกขวาหน้าหลังตรวจดูว่าเจ็บตรงส่วนไหน
                นี่นาย ใช้เวทย์หนักเลยนะเนี่ย วินดี้เอ่ย พร้อมกับพยายามทรงตัวขึ้นลอยอีกครั้ง ปีกน้อยเริ่มกระพือ ไม่นานนักวินดี้ก็บินได้คล่อง
                ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้ นี่น่ะเหรอพลังที่แท้จริงของคาถาในประมวลแห่งลม ทำไงดีล่ะ ราบคาบอย่างนี้ ถ้ามีใครคอยจับตาดูอยู่คงเห็นแต่ไกลเลยล่ะนะ
                ใครจะมาเห็น นอกจากนั้น โจ แต่มันก็ไกลโขอยู่นะ เออรีบไปกันก่อนเถอะ ก่อนที่หมาป่าหรือหมาในฝูงใหญ่จะมา.....ว่าแต่เมื่อกี้แทบแย่ ดีที่นายช่วยไว้
                นายโอเคนะวินดี้ แน่ใจ งั้นจะได้ไปกันต่อ ออนเนอร์สำรวจสัมภาระและเสบียงอีกครั้ง ก่อนที่จะพยุงวินดี้ขึ้นมาไว้ที่ไหล่
                โอ้ รู้หน้าที่ดีนี่ ออนเนอร์ ว่าที่ เทพก็มีพาหนะ อย่างนี้แหละ ฮา ฮา ไปได้แล้ว โฮๆ
                และแล้ว ออนเนอร์เด็กหนุ่มจากนอกมิติ ก็ต้องเดินทางต่อไปกับวินดี้ ภูติพิทักษ์ประมวลแห่งลม หนทางข้างหน้าช่างยาวไกล ออนเนอร์คงต้องทนเสียงบ่น หรือคุยโม้ไปตลอดทาง
                ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิออนแนอร์ ข้ายังไม่เหนื่อยเลยสักนิด
                ปัดโถ่ ลองมาเดินบ้างไหมล่ะ ออนเนอร์ถอนลมหายใจอีกเฮือกใหญ่ แล้วก็ก้าวเดินต่อไป ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น